ไขปมเงินเฟ้อต่ำ เข้าข่ายเงินฝืด ?

“เงินเฟ้อ” เป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญทางเศรษฐกิจที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา ตั้งแต่ปรากฏการณ์เงินเฟ้อสูงทั่วโลกในปี 2565 ที่ส่งผลให้ค่าครองชีพของครัวเรือนและต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยขึ้นไปแตะระดับที่เกือบร้อยละ 8 ในเดือนสิงหาคม 2565 จากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและอาหารสดเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 40
แต่ในช่วงระยะหลังมานี้ เงินเฟ้อไทยทยอยปรับลดลงต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีระดับที่ค่อนข้างต่ำแตะขอบล่างของกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ และปีนี้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปไทยติดลบตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 ต่อเนื่องมาถึงเดือนกันยายน 2568 หรือติดลบ 6 ติดต่อกัน และยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องอีกไปอีกสักระยะหนึ่ง ขณะที่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ประกาศปรับประมาณการอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั้งปี 2568 ลดลงเหลือร้อยละ 0.00 จากเดิมที่ร้อยละ 0.50
และเมื่อเทียบอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไทยกับต่างประเทศ โดยใช้ข้อมูลเดือนสิงหาคม 2568 ที่ลดลงร้อยละ 0.79 YoY พบว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไทยอยู่ระดับต่ำอันดับ 9 จาก 140 เขตเศรษฐกิจที่มีการประกาศตัวเลข และต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 9 ประเทศที่ประกาศตัวเลข ดังนี้ บรูไน, สิงคโปร์, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา, อินโดนีเซีย, เวียดนาม และสปป.ลาว
ทั้งนี้ เดือนสิงหาคมอัตราเงินเฟ้อทั่วไปไทยต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปที่ติดลบต่อเนื่องหลายเดือน และมีแนวโน้มติดลบไปอีกระยะหนึ่ง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายหลายด้านและฟื้นตัวได้ช้า จึงทำให้เกิดคำถามว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเงินฝืดหรือไม่ ซึ่งมีคำอธิบายจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่น่าสนใจ โดยเริ่มจากทำความรู้จักกับลักษณะของเงินฝืดกันก่อน
ภาวะเงินฝืด คือ ภาวะที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำหรือติดลบต่อเนื่องเป็นเวลานาน จากการที่ราคาสินค้าและบริการในระบบเศรษฐกิจลดลงอย่างต่อเนื่องและเป็นวงกว้าง ส่งผลให้ประชาชนชะลอการซื้อสินค้าเพราะคาดว่าในระยะข้างหน้าราคาจะลดลงไปอีก และทำให้ภาคธุรกิจต้องชะลอการผลิต การลงทุน และการจ้างงาน จนในที่สุดกระทบต่อรายได้แรงงาน และอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ซึ่งลักษณะวงจรภาวะเงินฝืดเช่นนี้มักสะท้อนอุปสงค์หรือกำลังซื้อที่อ่อนแอรุนแรง ซึ่งเคยเกิดขึ้นนานมาแล้วในช่วง Great Depression หรือ "ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่" ปี 1929 ในประเทศสหรัฐฯ หลายประเทศในยุโรป และประเทศญี่ปุ่นรวมถึงในช่วงทศวรรษที่สูญหาย (Lost Decade) ในประเทศญี่ปุ่นหลังปลายทศวรรษ 1990 เพราะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกและเศรษฐกิจหดตัวรุนแรง จนทำให้เงินเฟ้อในประเทศญี่ปุ่นเฉลี่ยอยู่ใกล้ร้อยละ 0 นานนับสิบปี และ GDP เฉลี่ยเติบโตเพียงร้อยละ 1
ในช่วงที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำใกล้ร้อยละ 0 และติดลบบ้างในบางเดือน ถือว่าปัจจุบันไทยเข้าข่ายเงินฝืดหรือไม่? ธปท.อธิบายไว้ในรายงานนโยบายการเงินไตรมาสที่ 3 ปี 2568 ว่า อัตราเงินเฟ้อไทยที่ต่ำในช่วงล่าสุดมาจากหมวดพลังงานและอาหารสดเป็นหลัก ซึ่งมักผันผวนตามปัจจัยด้านอุปทานรวมถึงปัจจัยภายนอกประเทศ
โดยตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2568 ราคาในหมวดพลังงานของไทยปรับลดลงต่อเนื่องตามการเพิ่มขึ้นของอุปทานราคาน้ำมันดิบโลก อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของภาครัฐอาทิ การลดค่าไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ยังมีส่วนทำให้ราคาพลังงานในประเทศอยู่ในระดับต่ำเช่นกัน
นอกจากนี้ ราคาสินค้าในหมวดอาหารสดปรับลดลงต่อเนื่องจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นจากสภาพอากาศที่เอื้อออำนวย โดยเฉพาะในหมวดผักและผลไม้ สะท้อนว่าอัตราเงินเฟ้อไทยทั่วไปที่ต่ำในช่วงนี้มาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นสำคัญ แต่ไม่ได้สะท้อนอุปสงค์ที่อ่อนแอรุนแรงดังที่มักเกิดขึ้นในภาวะเงินฝืด โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งสะท้อนส่วนของเงินเฟ้อที่ขับเคลื่อนโดยปัจจัยด้านอุปสงค์ยังเป็นบวกที่ประมาณร้อยละ 1 ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต
ทั้งนี้ ธปท.ยังประมาณการว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะกลับเป็นบวกในไตรมาส 2 ปี 2569 และกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายร้อยละ 1-3 ในปี 2570
นอกจากนี้ หากพิจารณาการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในรายย่อย เงินเฟ้อไทยที่ต่ำไม่ได้มาจากการปรับลดลงของราคาสินค้าอย่างเป็นวงกว้าง โดยสัดส่วนของจำนวนสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อส่วนใหญ่หรือประมาณร้อยละ 60 ยังทรงตัวหรือปรับเพิ่มขึ้น ขณะที่ปรับลดลงมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 40 ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยในอดีต
โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่ราคาปรับลดลงอยู่ในหมวดพลังงานและอาหารสด ขณะที่สินค้าในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่ราคาปรับลดลงบ้าง เช่น ของใช้ส่วนตัว และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด เป็นผลจากต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับตำตามราคาน้ำมันและเคมีภัณฑ์เป็นสำคัญ และอาจมีการปรับลดลงจากการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นจากการค้าขายออนไลน์หรือการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศจีน
นอกจากนี้ หากไทยกำลังประสบกับภาวะเงินฝืด เรามักเห็นเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะยาวที่ลดลงด้วย จากสาธารณชนที่คาดว่าราคาสินค้าและบริการในประเทศจะปรับลดลงต่อเนื่องจนนำไปสู่พฤติกรรมการชะลอการตัดสินใจซื้อสินค้า รวมถึงการชะลอลงของการผลิตและการลงทุนของผู้ประกอบการ
แต่ตัวเลขการคาดการณ์เงินเฟ้อระยะปานกลางของสาธารณชนยังอยู่ในกรอบเป้าหมายและทรงตัวใกล้ค่าเฉลี่ยในอดีต โดยอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ 5 ปี ข้างหน้า ทั้งจากผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจของ Asia Pacific Consensus Economics ณ เดือนเมษายน 2568 และจากการสกัดเงินเฟ้อคาดการณ์จากข้อมูลในตลาดการเงิน ณ เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ร้อยละ 1.6 และ 1.5 ตามลำดับ สะท้อนว่าผู้บริโภคและภาคธุรกิจยังเชื่อมั่นว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่ได้ต่ำนานต่อเนื่อง สอดคล้องกับประมาณการของ ธปท. ที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นในระยะข้างหน้าจากปัจจัยด้านอุปทานที่คลี่คลาย
สุดท้ายแล้ว หากหันมาดูภาวะเศรษฐกิจไทย แม้ว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงเนื่องจากความท้าทายหลายด้าน แต่ไทยไม่ได้ประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรืออุปสงค์ที่ชะลอตัวรุนแรงดังที่มักเกิดในกรณีภาวะเงินฝืด แต่สาเหตุที่เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ช้าในปัจจุบันมาจากความท้าทายหลายด้านแต่ไม่ใช่เป็นเพราะเงินเฟ้อที่ต่ำ ไม่ว่าจะเป็นจากปัจจัยภายนอก เช่น ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้า รวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขันในหลายอุตสาหกรรม เป็นต้น
อย่างไรก็ดี แม้ปัจจุบันเงินเฟ้อไทยที่ต่ำไม่ได้เข้าข่ายภาวะเงินฝืด แต่ระดับของอัตราเงินเฟ้อไทยในช่วงที่ผ่านมามักต่ำกว่าประเทศอื่น แม้หลายประเทศเผชิญกับปัจจัยด้านอุปทานหรือการปรับลดของราคาพลังงานโลกเช่นเดียวกับไทย หากไม่รวมช่วงที่เงินเฟ้อสูงในปี 2565-2566 เงินเฟ้อไทยในช่วง "ทศวรรษ" ที่ผ่านมาอยู่ในกลุ่มประเทศที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ 30 อันดับแรกจาก 180 ประเทศทั่วโลก
สาเหตุที่เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มหรือค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ต่ำกว่าต่างประเทศ ธปท. ระบุว่า สืบเนื่องมาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างของไทย การที่ไทยเป็นเศรษฐกิจที่เล็กและเปิด ทำให้เงินเฟ้อไทยมักอ่อนไหวไปกับปัจจัยด้านอุปทานและปัจจัยภายนอก
โดยราคาสินค้าในหมวดพลังงานและอาหารสดอธิบายความเคลื่อนไหวของเงินเฟ้อไทยได้สูงถึงร้อยละ 90 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่สัดส่วนของอาหารสดและพลังงานในตะกร้าเงินเฟ้อไทยสูงถึงร้อยละ 30 แต่หากรวมหมวดอาหารอื่นที่อยู่ในหมวดเงินเฟ้อพื้นฐานด้วย เช่น เครื่องประกอบอาหาร และอาหารสำเร็จรูป สัดส่วนอาหารและพลังงานในตะกร้าเงินเฟ้อจะสูงถึงร้อยละ 40 ซึ่งสัดส่วนนี้สูงเป็นอันดับต้น ๆ หากเทียบกับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วที่มักมีสัดส่วนอาหารต่ำกว่าประเทศกำลังพัฒนา
ทั้งนี้ การที่ไทยมีสัดส่วนของหมวดอาหารสดและพลังงานในตะกร้าเงินเฟ้อสูง ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของไทยอ่อนไหวไปกับแนวโน้มของปัจจัยด้านอุปทานที่ขับเคลื่อนสองหมวดนี้มากกว่าประเทศอื่น
อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังยังมีข้อสังเกตว่าราคาในหมวดอาหารของไทยต่ำสวนทางกับราคาอาหารในต่างประเทศ แม้ราคาอาหารโลกปรับสูงขึ้นตามความกังวลด้านความมั่นคงด้านอาหารประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนส่งผลต่อปริมาณผลผลิตในหลายประเทศ แต่แนวโน้มราคาอาหารในไทยนั้นอยู่ต่ำกว่าต่างประเทศมาก
ส่วนหนึ่งจากการที่ไทยมีความสามารถพึ่งพาตนเองในการผลิตอาหารสูง ทำให้ไทยได้รับผลกระทบจากการเร่งตัวของราคาอาหารโลกน้อยกว่าหลายประเทศ คล้ายกับประเทศจีนและอินโดนีเซียที่สามารถผลิตอาหารได้ค่อนข้างเพียงพอกับความต้องการบริโภคอาหารในประเทศ ขณะที่ราคาหมวดอาหารในประเทศที่พึ่งพาการนำเข้าอาหารเป็นสำคัญ เช่น สหรัฐฯ หรือฟิลิปปินส์ จะอ่อนไหวและสูงขึ้นตามราคาอาหารโลกมากกว่าไทยหลายเท่า
นอกจากแนวโน้มของหมวดอาหารสดและพลังงานที่ลดลงแล้ว ราคาสินค้าและบริการโดยรวมในไทยยังอาจได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันด้านราคาที่สูงกว่าประเทศอื่น ส่วนหนึ่งจากการขาดดุลการค้าที่มากขึ้นกับประเทศจีน โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2565 ที่นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เข้มข้นขึ้นทำให้จีนเร่งส่งออกสินค้าส่วนเกินมายังภูมิภาครวมถึงไทย ส่งผลให้ราคานำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นช้ากว่าราคานำเข้ารวมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้ว่าผู้บริโภคจะได้ประโยชน์จากสินค้าราคาถูกมากขึ้น แต่การแข่งขันที่สูงขึ้นนี้ก็จำกัดความสามารถของผู้ผลิตในประเทศในการปรับขึ้นราคาเช่นเดียวกัน
โดยสรุป เงินเฟ้อไทยที่ต่ำอธิบายได้โดยปัจจัยด้านอุปทานและปัจจัยเชิงโครงสร้างและไม่ได้เป็นต้นตอของการที่เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ช้า อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยในช่วงนี้เผชิญความท้าทายหลายด้านและมีความเปราะบางในหลายจุด ธปท. จึงเล็งเห็นความสำคัญในการติดตามพัฒนาการของเงินเฟ้อ รวมถึงความเสี่ยงของการเกิดภาวะเงินฝืดอย่างใกล้ชิด เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านราคาที่เอื้อให้เศรษฐกิจในระยะยาวเติบโตได้อย่างยั่งยืน
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
