ฮีโร่สงครามมะกันคลั่ง ดวลเดือดตำรวจ ยิงไม่เลือกหน้าแม่-เด็ก3เดือนดับ
ฮีโร่สงครามมะกัน คลั่งดวลเดือดตำรวจ - วันที่ 6 ก.ย. เอพีรายงานเหตุสะเทือนขวัญ นายไบรอัน ไรลีย์ อดีตทหารเหล่านาวิกโยธินของกองทัพสหรัฐอเมริกา อายุ 33 ปี ซึ่งผ่านสมรภูมิอิรัก และอัฟกานิสถาน ก่อเหตุคลั่งยิงสังหารผู้คนไม่เลือกหน้า ก่อนดวลปืนดุเดือดกับตำรวจและถูกจับกุมที่เมืองเลคแลนด์ รัฐฟลอริดา มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บสาหัส 1 คน
ผู้เสียชีวิตเป็นชาย ทราบชื่อเพียงว่า นายจัสติส กลีสัน อายุ 40 ปี และหญิงอายุ 33 ปี พร้อมทารกน้อยอายุ 3 เดือน รวมทั้งคุณยายของเด็กอายุ 62 ปี ส่วนผู้บาดเจ็บเป็นเด็กหญิงอายุ 11 ขวบ ถูกนายไรลีย์กระหน่ำยิงใส่ถึง 7 นัด แต่ตำรวจรุดเข้าช่วยนำส่งโรงพยาบาลได้ทัน
แกรดี จุดด์ นายอำเภอของเขตพอล์ก เคาน์ตี้ แถลงถึงเหตุที่เกิดขึ้นว่า นายไรลีย์นั้นมีอาการก้าวร้าวอย่างมาก โดยแม้จะถูกยิงบาดเจ็บแล้วก็ยังพยายามต่อสู้ขัดขืนแย่งปืนจากตำรวจจนต้องต่อสู้กันอีกครั้งในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล โดยทีมแพทย์ต้องวางยาสลบนายไบรลีย์ไว้
การสืบสวนเบื้องต้นพบว่า นายไรลีย์ นั้นเป็นวีรบุรุษสงคราม โดยเป็นอดีตพลแม่นปืน สังกัดเหล่านาวิกฯ ผ่านศึกสมรภูมิอย่างโชกโชนทั้งในอิรักและอัฟกานิสถาน สันนิษฐานว่ามีสภาพจิตไม่ปกติ
สะท้อนจากคำให้การของแฟนสาว ระบุว่า ไรลีย์ มีอาการเพี้ยนๆ มาหลายสัปดาห์แล้ว โดยเคยบอกกับตนว่า สามารถสื่อสารพูดคุยกันพระผู้เป็นเจ้าได้ ส่วนการสอบสวนนั้น นายไรลีย์ กล่าวกับพนักงานสอบสวนว่า "พวกเค้าร้องขอชีวิต แต่ผมก็ฆ่าพวกเค้าอยู่ดี"
https://www.youtube.com/watch?v=jRuRLhdHwB0
ด้านรายละเอียดของผู้เคราะห์ร้ายนั้น พนักงานสอบสวนเปิดเผยว่า นายกลีสัน เหยื่อเคราะห์ร้ายรายแรกนั้นไม่ได้รู้จักกับคนร้ายมาก่อน เพียงแต่ออกมาตัดหญ้าอยู่ที่ลานหน้าบ้านตอนคืนวันเสาร์ขณะที่นายไรลีย์ขับรถมาจอด โดยนายไรลีย์ให้เหตุผลว่า พระเจ้าบอกตนให้จอด เนื่องจากบุตรสาวของนายกลีสันกำลังจะพยายามฆ่าตัวตาย
เหยื่อคนที่สองนั้นทางตำรวจไม่ได้เปิดเผยชื่อและรายละเอียด เป็นผู้เข้ามาเผชิญหน้ากับนายไรลีย์ พยายามขอให้นายไรลีย์ออกไปจากพื้นที่ พร้อมขู่ว่าหากไม่ยุติจะโทรศัพท์เรียกตำรวจ ซึ่งเมื่อตำรวจมาถึงจุดเกิดเหตุก็ไม่พบตัวคนร้ายแล้ว
ประมาณ 9 ชั่วโมงถัดมา เป็นเวลาใกล้รุ่งสางประมาณ 04.30 น. นายไรลีย์เดินทางกลับไปที่บ้านหลังดังกล่าว พร้อมโปรยแท่งเปล่งแสงไว้เป็นทางเข้าไปยังพื้นที่ของบ้าน ซึ่งนายไรลีย์ ต้องการใช้เป็นพื้นที่ซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลังจากนั้นตำรวจที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด จึงรีบวิทยุแจ้งสำนักงานว่ามีเหตุยิงกันกำลังเกิดขึ้น ทำให้กำลังตำรวจจำนวนมากระดมเข้ามายังบ้านหลังนี้
เมื่อตำรวจเดินทางมาถึงก็พบรถกระบะของนายไรลีย์ที่จอดอยู่นั้นกำลังเกิดเพลิงไหม้ไฟลุกท่วม พร้อมนายไรลีย์ในชุดพรางแต่ไม่มีอาวุธ ซึ่งเมื่อเห็นตำรวจก็วิ่งเข้าไปหลบภายในบ้านดังกล่าวแล้วตำรวจได้ยินเสียงปืนพร้อมเสียงผู้หญิงกรีดร้องและเสียงร้องงอแงของทารก
เหตุที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าหน้าที่พยายามเข้าไปในบ้านที่เกิดเหตุแต่ไม่สามารถทำได้เนื่องจากนายไรลีย์ก่อสิ่งกีดขวางไว้จำนวนมากภายใน จึงรีบนำกำลังอ้อมไปเข้าหลังบ้าน จึงเผชิญหน้ากับนายไรลีย์ในชุดพร้อมรบ ทั้งสนับศอกและหัวเข่า พร้อมเกราะกันกระสุน นำไปสู่การยิงต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายร้อยนัด กระทั่งนายไรลีย์ ถอยกลับเข้าไปในบ้าน และไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
ต่อมาเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจพบนายไรลีย์กำลังออกมาจากบ้าน ทำให้ตำรวจยิงเข้าใส่ได้รับบาดเจ็บ และนายไรลีย์ถูกจับกุม แต่เหตุยังไม่จบเนื่องจากตำรวจได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากภายในบ้าน แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามาถเข้าไปได้ เพราะอาจมีกับดักระเบิด
อย่างไรก็ตาม จ่าตำรวจนายนึงยอมเอาชีวิตเข้าแลกด้วยการฝ่าเข้าไปภายในบ้านหลังดังกล่าวและอุ้มร่างเด็กหญิงอายุ 11 ขวบ ที่กำลังหายใจรวยริน หลังถูกคนร้ายกระหน่ำยิงใส่ถึง 7 นัด ส่งโรงพยาบาลเป็นการด่วน ซึ่งล่าสุดทีมแพทย์ระบุว่า สามารถผ่าตัดช่วยชีวิตไว้ได้แล้ว
เด็กหญิงผู้เคราะห์ร้าย ระบุกับตำรวจก่อนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลว่า มีผู้เสียชีวิตอีก 3 ราย อยู่ในบ้าน ทำให้ตำรวจส่งหุ่นยนตร์เข้าไปสำรวจหาวัตถุระเบิด เมื่อพบว่าไม่มีกับดักใดๆ จึงเข้าไปตรวจสอบก็พบร่างไร้วิญญาณของนายกลีสัน แม่เด็ก ทารกน้อย และคุณยาย ที่ถูกคนร้ายสังหาร
ฝ่ายสืบสวนปฏิเสธที่จะเปิดเผยรายละเอียดว่า ตำแหน่งของศพอยู่บริเวณใดบ้างของบ้าน และสภาพศพเป็นอย่างไร แต่ระบุเพียงว่า บรรดาผู้เคราะห์ร้ายพยายามแอบซ่อนตัวและกอดคอกันด้วยความหวาดกลัวในนาทีสุดท้ายของชีวิต แม้แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้คนร้ายก็ไม่ละเว้น
แฟนสาวของนายไรลีย์ ซึ่งคบหากันมานาน 4 ปี กล่าวว่า ตนรู้สึกช็อกมากกับสิ่งที่ไรลีย์ทำลงไป เนื่องจากแฟนหนุ่มนั้นไม่เคยใช้ความรุนแรง เพียงแต่ป่วยทางจิตจากเหตุรุนแรง (PTSD) โดยช่วงก่อนเกิดเหตุนั้นนายไรลีย์มีอาการเพี้ยนมากขึ้นเรื่อยๆ
แฟนสาวของคนร้าย เล่าว่า เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อนนั้น นายไรลีย์ อ้างว่าได้รับภารกิจจากพระผู้เป็นเจ้าให้กักตุนเสบียงและสิ่งของยังชีพสำหรับไว้ช่วยเหลือเหยื่อพายุเฮอร์ริเคนไอดา ในจำนวนนี้ รวมถึงซิกา มูลค่ากว่า 3 หมื่นบาทด้วย
นายอำเภอของเขตพอล์ก เคาน์ตี้ ระบุว่า ก่อนหน้าเหตุที่เกิดขึ้นนายไรลีย์เป็นวีรบุรษสงครามที่ต่อสู้รับใช้ชาติด้วยความเสียสละในสงครามอิรักและอัฟกานิสถาน แต่จากนี้ไปไรลีย์เป็นเพียงฆาตกรเลือดเย็นคนหนึ่งเท่านั้น
รายงานระบุว่า นายไรลีย์ ไม่เคยประวัติอาชญากรรมใดๆ แต่ระบุกับพนักงานสอบสวนว่าตนแอบเสพยาไอซ์เข้าไปก่อนเกิดเหตุ ส่วนการตรวจสอบรถกระบะของนายไรลีย์พบยุทโธปกรณ์จำนวนมากสำหรับเตรียมสู้รบ ในจำนวนนี้ รวมถึงชุดปฐมพยาบาลภาคสนามด้วย
ตำรวจระบุอีกว่า ภายหลังการจับกุมและนำตัวนายไรลีย์ไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้น นายไรลีย์เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกครั้งและพยายามต่อสู้แย่งปืนจากตำรวจ ทำให้เกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้งในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เคราะห์ดีที่นายไรลีย์ก่อเหตุไม่สำเร็จ โดยทางตำรวจต้องจับนายไรลีย์มัดไว้เพื่อให้ทีมแพทย์ให้ยากล่อมประสาท
นายไบรอัน แฮสส์ อัยการรัฐฟลอริดา กล่าวว่า นายไรลีย์จะถูกนำไปควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำระหว่างรอการแจ้งข้อกล่าวหา
"คำถามที่ใหญ่ที่สุดจากเหตุอุกฉกรรจ์นี้คือ ทำไม ซึ่งวันนี้พวกเรายังไม่รู้ได้ และอาจจะไม่มีวันได้รู้ก็เป็นได้ครับ" แฮสส์ ระบุ