รีเซต

จีนโต้สหรัฐฯ บิดเบือน กรณีคุมส่งออกแร่หายาก ย้ำชอบด้วยกฎหมาย

จีนโต้สหรัฐฯ บิดเบือน กรณีคุมส่งออกแร่หายาก ย้ำชอบด้วยกฎหมาย
TNN ช่อง16
17 ตุลาคม 2568 ( 11:01 )
8

สัญญาณความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ โดยเฉพาะในประเด็นแร่หายาก ยังคงปรกฎขึ้น ล่าสุด กระทรวงพาณิชย์ของจีนออกมาโต้สหรัฐฯ ว่าเป็นฝ่ายที่บิดเบือนและขยายความจนเกินจริง ขณะที่จีนดำเนินการชอบด้วยกฎหมาย  

นางเหอ หย่งเฉียน โฆษกกระทรวงพาณิชย์ของจีน กล่าวว่า มาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีน เป็นมาตรการที่ชอบด้วยกฎหมายและสอดคล้องกับกฎระเบียบของจีน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการควบคุมการส่งออกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยมาตรการดังกล่าว มีเป้าหมายเพื่อป้องกันการรั่วไหลและการใช้งานแร่หายากอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการนำไปใช้ในการผลิตอาวุธทำลายล้างสูง และเพื่อปกป้องความมั่นคงแห่งชาติของจีน รวมทั้งความมั่นคงของโลก

เธอกล่าวอีกว่า ขอบเขตของมาตรการควบคุมดังกล่าว ได้ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์แร่หายากบางชนิดในต่างประเทศ ที่ได้ถูกระบุไว้แล้วในบัญชีควบคุมการส่งออกของจีน เช่น วัสดุแม่เหล็กและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง และจีนได้แจ้งประเทศต่าง ๆ ล่วงหน้า รวมทั้งสหรัฐ สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ก่อนการประกาศมาตรการดังกล่าว และจีนยังคงรักษาการสื่อสารอย่างเป็นมิตรกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าภายใต้กรอบใหม่

เธอย้ำว่า การตีความของสหรัฐได้บิดเบือนและขยายความจนเกินจริงต่อมาตรการของจีนอย่างรุนแรง โดยจงใจสร้างความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น 

ทั้งนี้ สัญญาณความตึงเครียดรอบใหม่ที่ปะทุขึ้นมา เกิดขึ้นหลังจาก เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ออกมาประณามมาตรการจำกัดการส่งออกแร่แรร์เอิร์ธของจีนเมื่อวันพุธ (15 ต.ค.) โดยระบุว่าเป็น "การพยายามฮุบอำนาจในห่วงโซ่อุปทานโลก" พร้อมเสนอว่าจีนสามารถหลีกเลี่ยงการถูกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาใช้มาตรการกำแพงภาษีระดับเลขสามหลัก (ทะลุ 100%) ได้ หากยอมระงับมาตรการดังกล่าว

จีนเสี่ยงพลาดเป้าจีดีพีโตร้อยละ 5 โพลชี้ไตรมาส 3 โตต่ำสุดรอบ 1 ปี

ไปดูผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ ต่อเศรษฐกิจจีนในไตรมาส 3 ซึ่งพบว่ามีแนวโน้มขยายตัวในอัตราอ่อนแอที่สุดในรอบหนึ่งปี โดยคาดว่าการชะลอตัวจะรุนแรงขึ้น และอาจกระทบต่อเป้าหมายการเติบโตทั้งปีของรัฐบาล ที่ร้อยละ 5

สำนักข่าวรอยเตอร์ เปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 45 คน ที่มีต่อแนวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในช่วงไตรมาสที่ 3 ผลออกมาพบว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตร้อยละ 4.8 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2567 และลดลงจากร้อยละ 5.2 ในไตรมาส 2 แต่ยังสูงกว่าประมาณการเมื่อเดือนกรกฎาคมที่คาดไว้ร้อยละ 4.5

ขณะที่ผลสำรวจต่อการเติบโตในไตรมาส 4 นักเศรษฐศาสตร์ประเมินว่าอาจชะลอลงเหลือร้อยละ 4.3 ซึ่งจะส่งผลให้การขยายตัวทั้งปีอยู่ที่ราวร้อยละ 4.8 ต่ำกว่าเป้าหมายอย่างเป็นทางการที่ประมาณร้อยละ 5 พร้อมกันนี้ ยังคาดว่าเศรษฐกิจจีนจะชะลอต่อเนื่องสู่ระดับร้อยละ 4.3 ในปี 2569 

"แลร์รี หู" หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จีนของบริษัทแมควอรี (Macquarie) ประเมินว่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตทั้งปี รัฐบาลจีนอาจต้องออกมาตรการกระตุ้นขนาดเล็กเพิ่มเติมในไตรมาส 4 โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ และมองว่าในระยะยาว จีนจะใช้มาตรการภายในประเทศเพื่อลดผลกระทบจากภายนอกและรักษาเสถียรภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ เศรษฐกิจจีนซึ่งพึ่งพาภาคการผลิตและอุปสงค์จากต่างประเทศเป็นหลัก ยังคงเปราะบางต่อปัจจัยภายนอก ขณะที่ผู้ส่งออกหลายรายได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ตั้งแต่ต้นปีนี้ และจำเป็นต้องขยายตลาดไปยังประเทศอื่นเพื่อชดเชยยอดขายที่หายไป ขณะที่รัฐบาลจีนมีกำหนดเผยแพร่ข้อมูล GDP ไตรมาส 3 รวมถึงยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนเดือนกันยายนในวันจันทร์หน้า

"อินเดีย" ลั่นหยุดซื้อน้ำมันรัสเซีย เล็งนำเข้าน้ำมันสหรัฐฯ เพิ่ม 

ดูเหมือน "อินเดีย" จะพยายามลดข้อขัดแย้งกับทางการสหรัฐฯ มากขึ้น ล่าสุด นายกรัฐมนตรี "นเรนทรา โมดี" ได้ให้คำมั่นกับโดนัลด์ ทรัมป์ว่าอินเดียจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซียเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน ยังประกาศความพร้อมที่จะนำเข้าน้ำมันสหรัฐเพิ่มอีก 15,000 ล้านดอลลาร์

สำนักข่าว CNBC รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรี "นเรนทรา โมดี" ของอินเดีย ได้ให้คำมั่นกับเขา ว่ารัฐบาลนิวเดลีจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย แม้ว่าการดำเนินการดังกล่าวจะต้องใช้เวลา โดยทรัมป์กล่าวเสริมว่า การนายกรัฐมนตรี "โมดี" ให้คำมั่นว่าจะไม่ซื้อน้ำมันจากรัสเซียอีกต่อไป ถือเป็นการหยุดที่สำคัญมาก และตอนนี้ เราต้องทำให้จีน ดำเนินการในแบบเดียวกัน

ด้านสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า "ราชีช อัครวาล" รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของอินเดีย ได้เปิดเผยว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อินเดียได้เพิ่มปริมาณการซื้อน้ำมันจากสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบัน อินเดียนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐฯ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 12,000-13,000 ล้านดอลลาร์ ตามตัวเลขปีงบประมาณ 2568 และยังมีช่องว่างอีกประมาณ 14,000-15,000 ล้านดอลลาร์ที่สามารถเพิ่มได้ตามกำลังการกลั่นในปัจจุบัน

รายงานระบุว่า การเพิ่มการซื้อน้ำมันดังกล่าว อาจช่วยลดการเกินดุลทางการค้าของอินเดียกับสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 42,700 ล้านดอลลาร์ และอาจช่วยบรรเทาความไม่พอใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เพิ่งขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากอินเดียถึงร้อยละ 50 จากการที่อินเดียยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซีย

รายงานยังระบุอีกว่า ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งจากอินเดีย กำลังเดินทางไปสหรัฐ เพื่อพบปะคู่เจรจา และหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ภายในเดือนหน้า โดยกลยุทธ์หลักของอินเดียคือ การลดส่วนเกินทางการค้ากับสหรัฐ ผ่านการนำเข้าสินค้าจากอเมริกาเพิ่มขึ้น รวมถึงการเปิดตลาดในประเทศให้เข้าถึงง่ายขึ้น และการลดอุปสรรคทางการค้า โดยอินเดียกำลังพิจารณาแผนจัดซื้อสินค้ารายการใหญ่จากสหรัฐ มูลค่ารวมประมาณ 40,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารและน้ำมัน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง