บล.บัวหลวง ชี้ต่างชาติยังเทขายหุ้นไทย เหตุคาดการณ์ส่งออกกว่าจะฟื้นตัวปี 64 แนะ 6 กลุ่มเด่นเทรดมีกำไรช่วงตลาดซึม
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) หรือบล. บัวหลวง เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยระยะสั้นช่วงกลางเดือนกันยายนถึงสิ้นเดือนตุลาคมนี้ว่า ดัชนีอาจอยู่ในลักษณะซิกแซกและซึมลง โดยมองแนวรับและแนวต้านระดับ 1,250 จุด และ 1,310 จุด ตามลำดับ เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่เข้ามาสนับสนุนการลงทุน ขณะที่การพัฒนาวัคซีนต้านไวรัสโควิด -19 อาจต้องใช้เวลานานกว่าคาด และนักลงทุนยังคงรอดูรายชื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ รวมถึงมาตรการเพิ่มเติมรองรับการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ล่าช้า ทำให้การฟื้นตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนโดยรวมอาจถูกยืดเวลาออกไป ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำถือหุ้นไม่เกิน 70% และหากดัชนีหลุด 1,300 จุด ให้หาจังหวะซื้อเพิ่มแถว 1,250 จุด
ปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ 1.การลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐ 2.การรักษาเสถียรภาพการเงินและวินัยการคลังของรัฐบาล 3.การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 46 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ หากนายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งได้เป็นผู้นำคนใหม่ อาจส่งผลกระทบต่อ Sentiment ตลาดหุ้นทั่วโลก เพราะนโยบายการขึ้นภาษีนิติบุคคลจะกระทบด้านลบต่อกำไร บริษัทจดทะเบียนสหรัฐฯ แต่อาจส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นทั่วโลก จากความคาดหวังการผ่อนคลายนโยบายกีดกันด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯต่อประเทศทั่วโลก และ 4.ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนที่ยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี สำหรับปัจจัยทางการเมืองภายในประเทศอาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยเพียงระยะสั้นเท่านั้น
นายชัยพร กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี 2563 มองกรอบดัชนีเคลื่อนไหวที่ระดับ 1,250 – 1,380 จุด โดยคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 อาจเติบโตประมาณ 44% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปี 2563 ที่ได้รับผลกระทบหนักจากการล็อกดาวน์ประเทศ แต่เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2562 อาจปรับตัวลดลงประมาณ 28% เนื่องจากฐานปีก่อนอยู่ระดับสูง อย่างไรก็ดี แม้กำไรไตรมาส 3 ปี 2563 ของบริษัทจดทะเบียนจะพลิกตัวดีขึ้น แต่คงไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะผลักดันให้หุ้นไทยปรับตัวขึ้น เพราะอัพไซด์เริ่มจำกัด โดยดัชนีกรอบบนอยู่ระดับ 1,380 จุด บนคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน ปี 2564 ที่อยู่ประมาณ 77 บาทต่อหุ้น เทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิด -19 ที่มีกำไรระดับ 86 บาทต่อหุ้น
“ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นเอเชีย (Underperform) หลังนักลงทุนต่างชาติทยอยขายหุ้นไทยต่อเนื่อง เพราะมองว่ากว่าส่งออกของไทยจะฟื้นตัวอาจต้องใช้เวลาถึงปี 2564 ขณะเดียวกันยังต้องติดตามว่าภูเก็ตโมเดลจะสร้างแรงจูงใจให้นักท่องเที่ยวกลับมาท่องเที่ยวเมืองไทยในช่วงปลายปีนี้ได้หรือไม่ อย่างไรก็ดี เป้าหมายดัชนีปี 2564 มองระดับ 1,450 จุด” นายชัยพร กล่าว
นายชัยพร กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ว่า นักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปในหลากหลายสินทรัพย์ ในส่วนการลงทุนในหุ้น แนะลงทุนตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 80% และ 20% ตามลำดับ โดยธุรกิจไทยกลุ่มที่คาดว่าจะมีกำไรฟื้นตัวได้เร็วในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 คือ 1.กลุ่มอาหาร หุ้นเด่นประจำกลุ่ม คือ หุ้น CPF หลังได้รับปัจจัยบวกจากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และคาดว่ากำไรไตรมาส 3 ปี 2563 อาจเติบโตประมาณ 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตประมาณ 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
2.กลุ่มเครื่องดื่ม หลังได้รับปัจจัยหนุนจากการออกสินค้าใหม่ในช่วงปลายปี โดยแนะลงทุนในหุ้น OSP เพราะคาดว่ากำไรอาจเติบโตประมาณ 11% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 16% จากไตรมาสก่อนหน้า 3.กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งหุ้นเด่นของกลุ่ม คือ หุ้น SCC คาดว่ากำไรอาจเติบโตประมาณ 66% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตประมาณ 10% จากไตรมาสก่อนหน้า 4.กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แนะนำหุ้น DELTA คาดกำไรอาจเติบโตประมาณ 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงราว 4% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า
5.กลุ่มคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ แนะนำหุ้น SAWAD คาดกำไรจะเติบโต 14% จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน และขยายตัว 10% จากไตรมาส 2 ปี 2563 และ หุ้น MTC คาดกำไรจะเติบโตประมาณ 16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่จะทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ 6.กลุ่มประกัน แนะนำหุ้น TQM คาดกำไรอาจเติบโตประมาณ 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโต 8% เมื่อเทียบไตรมาสก่อนหน้า
ส่วนกลุ่มที่กำไรอาจฟื้นตัวได้ช้าคือ กลุ่มสื่อ, กลุ่มขนส่ง, กลุ่มท่องเที่ยว, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มยานยนต์ “การลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยสร้างกระแสเงินสดได้ดีในช่วงนี้ ฉะนั้นยังคงแนะนำลงทุนในสัดส่วนประมาณ 10-15% จากเงินลงทุนทั้งหมด เน้นกองทุนรวมประเภทศูนย์การค้า เพราะมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นในครึ่งปีหลังเป็นต้นไป ส่วนนักลงทุนที่เน้นความปลอดภัย แนะลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย ไทยแลนด์ ฟิวเจอร์ ฟันด์ (TFFIF) ที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 3% ต่อปี, กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล (DIF) ที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 5.5-5.8% ต่อปี และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) ที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลประมาณ 9% ต่อปี” นายชัยพร กล่าว