บันทึกในประวัติศาสตร์ จัดทำ ‘จดหมายเหตุโควิดระบาดไทย’ คาดเสร็จ มิ.ย.66
วันนี้ ( 24 ก.ย. 65 )นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรมได้รายงานถึงความคืบหน้าการจัดทำจดหมายเหตุการแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย ต่อที่ ศบค.ชุดใหญ่ วานนี้ (23 ก.ย.) ว่า คณะทำงานของกระทรวงวัฒนธรรมได้รวบรวม สืบค้นข้อมูลเหตุการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2563 – 31 ก.ค. 2565 จากแหล่งข้อมูลต่างๆ ประกอบด้วย หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เอกสารดิจิทัลจากเว็บไซต์หน่วยงาน/ การขอข้อมูลเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ระดับกระทรวงและจังหวัด จำนวน 30 หน่วยงาน
เอกสารจากผู้ว่าราชการ 73 จังหวัด และ รวบรวมภาพถ่ายจากเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาเรียบเรียงเป็นเนื้อหาซึ่งมีเค้าโครงเบื้องต้น ระบุถึงความเป็นมาของโรคโควิด ซึ่งเป็นการนำเสนอข้อมูลเชิงวิชาการ การแพร่ระบาดของสายพันธุ์ต่างๆ ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด19 ซึ่งนำเสนอทั้งผลกระทบด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจ การศึกษา สังคม วัฒนธรรมตลอดจนการดำเนินชีวิตวิถีใหม่
การบริหารจัดการสถานการณ์โควิดนำเสนอในมิติการบริหารจัดการ การป้องกัน การกำหนดมาตรการ แก้ไข เยียวยา ฟื้นฟูทั้งภาคประชาชน ผู้ประกอบการผ่านมาตรการสำคัญต่างๆ
ลำดับเหตุการณ์สำคัญ นำเสนอการแพร่ระบาดในแต่ละระลอก และสรุปบทเรียนประเทศจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ เพื่อเป็นข้อมูลให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และเป็นองค์ความรู้และการดูแลจัดการกรณีเกิดสถานการณ์ลักษณะเดียวกันขึ้นในอนาคต
ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานในที่ประชุม ศบค. ได้มีข้อสั่งการให้คณะทำงานของกระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาเพิ่มเนื้อหาในส่วนที่สะท้อนถึงความร่วมมือของคนไทย ทั้งการบูรณาการร่วมกันทั้งภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม เป็นการบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังเห็นว่าด้วยความร่วมมือของคนไทยประเทศจึงสามารถผ่านวิกฤตครั้งใหญ่นี้มาได้
ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมรายงานว่าการเรียบเรียงเนื้อหาชั้นแรกจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ จากนั้นจะมีการปรับแก้เค้าโครงและเนื้อหาให้สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการและเอกสารที่ได้รับ ก่อนจะตรวจแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิตามขั้นตอนจนเสร็จสิ้นภายในเดือนมิถุนายน 2566 และจะดำเนินการตามขั้นตอนทางทะเบียนเพื่อนำเข้าระบบเอกสารจดหมายเหตุของประเทศต่อไป
ข้อมูลจาก : รัฐบาลไทย
ภาพจาก : AFP