SAบิ๊กโปรเจ็กต์9พันล.พลิกเกมอสังหาทำเงิน

#SA #ทันหุ้น – SA ส่งสัญญาณปี 2569 ฟื้นแรง เล็งรับโอน 2 โครงการใหญ่รวม 5.5 พันล้านบาท เริ่มบุ๊กรายได้เข้าโค้งแรก โชว์แบ็กล็อกแน่น 3 พันล้านบาท เปิดเกมรุก ลุย JV ลงทุนภูเก็ต 9 พันล้านบาท ฟากบอสใหญ่ “ขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ” ปรับกลยุทธ์เจาะนักลงทุน เปิดโปรแกรม Investage การันตีผลตอบแทน 5% ต่อปี
นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในปี 2569 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2568 จากการมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ในปีหน้า ได้แก่ โครงการย่านแฟชั่นไอส์แลนด์ มูลค่า 3,500 ล้านบาท และโครงการทุ่งสองห้อง มูลค่า 2,000 ล้านบาท รวมมูลค่า 5,500 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/2569 เป็นต้นไป ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมียอดรอโอนกรรมสิทธิ์ หรือแบ็กล็อกแล้วประมาณ 3,000 ล้านบาท
ลงทุนภูเก็ต
ขณะเดียวกัน บริษัทอยู่ระหว่างขยายการลงทุนไปยังจังหวัดภูเก็ต โดยอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดิน 2 แปลง ได้แก่ บางเทา ขนาด 10 ไร่ และกมลา ขนาด 7 ไร่ ในรูปแบบการร่วมทุน (JV) กับพันธมิตรต่างชาติ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 9,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบางเทา ประมาณ 2,000 ล้านบาท และโครงการกมลา ประมาณ 7,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีหน้ายังคงเผชิญแรงกดดันจากปัญหาการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ทั้งสินเชื่อรายย่อยและสินเชื่อโครงการ แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% แต่หากธนาคารยังไม่ปล่อยกู้ ก็ไม่ก่อให้เกิดผลเชิงบวกต่อระบบ ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงเผชิญปัญหาสภาพคล่อง
นายขจรศิษฐ์ กล่าวต่อว่า แม้จะมีผู้ซื้อ แต่เมื่อถูกปฏิเสธสินเชื่อ ผู้ประกอบการต้องนำโครงการกลับมาขายใหม่และแบกรับต้นทุนด้านการตลาดและการขายที่สูงขึ้น ซึ่งจะกดดันอัตรากำไรของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกว่า 10 กลุ่ม อาทิ แรงงาน ผู้รับเหมา ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และบริษัทก่อสร้าง
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จำนวนมากเริ่มชะลอการเปิดโครงการใหม่ และมีความเสี่ยงที่บางบริษัทจะไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อได้ โดยเฉพาะบริษัทที่ไม่สามารถระดมทุนผ่านตลาดหุ้นกู้ได้ ขณะที่บริษัทที่จะอยู่รอดคือกลุ่มที่มีความน่าเชื่อถือและชำระหุ้นกู้ตรงเวลา ซึ่งควรได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ เนื่องจากภาคอสังหาริมทรัพย์มีสัดส่วนต่อ GDP ไทยราว 25% และถือเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ปรับกลยุทธ์
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ บริษัทได้ปรับมาเน้นกลุ่มนักลงทุนมากกว่าตลาดซื้อเพื่ออยู่อาศัย โดยพัฒนาโปรแกรม “Investage” ซึ่งใช้ห้องพักเป็นหลักประกัน พร้อมรับประกันผลตอบแทน 5% ต่อปี สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยผ่อนธนาคารเฉลี่ยที่ราว 3% อีกทั้งนักลงทุนไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ค่าส่วนกลาง ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าซ่อมบำรุง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
