เมื่อผืนป่ากลายเป็นทะเลเพลิง โลกทั้งใบไหม้ไปพร้อมกัน

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกของเรากำลังเผชิญกับปรากฏการณ์ไฟป่าที่รุนแรงและถี่ขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน ภาพของผืนป่าที่มอดไหม้และท้องฟ้าที่แดงฉานจากเปลวเพลิงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศใดประเทศหนึ่งอีกต่อไป แต่ลุกลามไปทั่วทุกมุมโลก ตั้งแต่ออสเตรเลียจนถึงป่าแอมะซอน เหตุการณ์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หรือภาวะโลกร้อน กำลังส่งผลโดยตรงต่อระบบนิเวศของโลก
รายงาน State of Wildfires ประจำปี 2025 ของมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นเปิดเผยว่า ระหว่างเดือนมีนาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025 ไฟป่าทั่วโลกได้เผาผลาญพื้นที่กว่า 3.7 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าประเทศอินเดียทั้งประเทศ และส่งผลกระทบต่อผู้คนมากกว่า 100 ล้านคน ความเสียหายทางเศรษฐกิจจากไฟป่าครั้งนี้ประเมินว่ามีมูลค่ากว่า 183,000 ล้านยูโร ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสูญเสียที่ร้ายแรงเกินกว่าจะมองข้ามได้
นักวิจัยระบุว่า ภาวะโลกร้อนไม่ได้เพียงทำให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้พืชพรรณและป่าไม้แห้งแล้ง กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีสำหรับไฟป่า ยิ่งอากาศร้อนจัดและแห้งยาวนานเท่าใด ความเสี่ยงในการเกิดไฟป่าก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือในอเมริกาใต้ พื้นที่ปันตานาลและชิควิตาโนเกิดไฟป่าที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติถึง 35 เท่า หากไม่มีภาวะโลกร้อนจากมนุษย์ ส่วนในสหรัฐอเมริกา เมืองลอสแอนเจลิสก็ประสบไฟป่าที่มีโอกาสเกิดมากขึ้นถึงสองเท่าและเผาผลาญพื้นที่กว้างกว่าปกติถึง 25 เท่า
ในออสเตรเลียเอง ไฟป่าขนาดใหญ่กว่า 1,000 จุดได้ทำลายพื้นที่กว่า 34.4 ล้านไร่ ขณะที่ป่าอเมซอนประสบกับฤดูไฟป่าที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 20 ปี เผาพื้นที่ไปถึง 20.6 ล้านไร่ และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณเทียบเท่ากับการปล่อยของทั้งประเทศ ส่วนในยุโรปตอนใต้ ความร้อนระอุและความแห้งแล้งทำให้พื้นที่กว่า 1.45 ล้านไร่ หรือเท่ากับขนาดของประเทศลักเซมเบิร์ก ถูกไฟเผาผลาญ
ผลกระทบจากไฟป่าไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่ความเสียหายทางกายภาพเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อสมดุลของระบบนิเวศและวงจรคาร์บอนของโลก งานวิจัยในวารสาร Nature พบว่า ป่าฝนเขตร้อนในรัฐควีนส์แลนด์ของออสเตรเลีย ซึ่งเคยเป็น “แหล่งดูดซับคาร์บอน” ได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็น “แหล่งปล่อยคาร์บอน” เนื่องจากต้นไม้ตายและสลายเร็วกว่าที่เติบโตใหม่ ปัจจัยสำคัญคืออากาศที่แห้งและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ซึ่งทำให้ต้นไม้ไม่สามารถกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้อีกต่อไป
ไฟป่าจึงไม่เพียงทำลายป่าไม้และสัตว์ป่าเท่านั้น แต่ยังเร่งให้โลกร้อนยิ่งขึ้นจากการปล่อยคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ เป็นวงจรที่ยากจะหยุดหากไม่มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า การปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศธรรมชาติเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในเวลานี้ เพื่อรักษาความสามารถของโลกในการดูดซับคาร์บอนและปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพที่ยังเหลืออยู่
ดังที่นักวิจัย ฮามิช คลาร์ก หนึ่งในผู้เขียนรายงานกล่าวไว้ว่า “เราได้เห็นผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับสุดขั้วแล้ว แต่ยังไม่สายเกินไปที่จะลงมือแก้ไข” คำกล่าวนี้เป็นเครื่องเตือนใจให้มนุษย์ทุกคนต้องตระหนักว่าอนาคตของโลกไม่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า หากแต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและการกระทำของเราทุกคนในวันนี้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
