รีเซต

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ตั้งฐานบนดวงจันทร์

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างประเทศที่ตั้งฐานบนดวงจันทร์
TNN ช่อง16
16 พฤศจิกายน 2568 ( 10:32 )
8

ปัจจุบันชาติมหาอำนาจกำลังเดินหน้าสู่ยุคใหม่ของการสำรวจอวกาศ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้าง ฐานถาวรบนดวงจันทร์ ทั้งสหรัฐอเมริกาซึ่งผลักดันโครงการ Artemis และจีนที่ร่วมมือกับพันธมิตรในโครงการ ILRS ต่างวางแผนตั้งศูนย์ปฏิบัติการถาวรในพื้นที่เดียวกันนั่นคือ ขั้วใต้ของดวงจันทร์ 

ซิโมเนตตา ดิ ปิปโป (Simonetta Di Pippo) นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์ ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการวิวัฒนาการเศรษฐกิจอวกาศ (SEE Lab) ได้เผยแพร่บทความและแสดงมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับวิธีลดความขัดแย้งระหว่างประเทศจากการตั้งฐานถาวรบนพื้นผิวดวงจันทร์ ลงบนเว็บไซต์ The Conversation ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่าพื้นที่บริเวณขั้วใต้ของดวงจันทร์ได้กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีทรัพยากรจำกัด โดยเฉพาะ น้ำแข็งในหลุมอุกกาบาตบนพื้นผิวดวงจันทร์ ซึ่งสามารถนำไปผลิตเป็นน้ำดื่ม อากาศหายใจ และเชื้อเพลิงส่งยานไปยังอวกาศห้วงลึก 

อย่างไรก็ตาม ทรัพยากรที่หายากเหล่านี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่าอาจเปิดทางสู่ความขัดแย้งด้านการครอบครองพื้นที่และการสกัดแร่มีค่าในอนาคต หากประเทศต่าง ๆ ไม่สามารถตกลงกติกาเดียวกันได้ว่าใครมีสิทธิใช้ประโยชน์และใช้อย่างไร

แรงกดดันนี้เพิ่มขึ้นเมื่อหลายประเทศเริ่มเคลื่อนไหวจริงจัง เช่น องค์การ NASA ของสหรัฐอเมริกา กำลังเดินหน้าสร้างฐานบนดวงจันทร์ Artemis Base Camp 

ส่วนจีนและกลุ่มพันธมิตรอีกหลายชาติกำลังออกแบบฐาน International Lunar Research Station (ILRS) ด้วยเป้าหมายคล้ายกัน นั่นยิ่งทำให้คำถามใหญ่เกิดขึ้นว่า เราจะใช้น้ำแข็งและพื้นที่ลงจอดที่มีจำกัดร่วมกันได้อย่างไรโดยไม่เกิดการถือครองดินแดนบนดวงจันทร์ซึ่งละเมิดกฎหมายอวกาศสากล 

ประเด็นนี้กลายเป็นความท้าทายสำคัญของศตวรรษที่ 21 และเป็นเหตุผลที่โลกจำเป็นต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับกติกาอวกาศมากกว่าที่เคย

หนึ่งในกลไกสำคัญที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อป้องกันความขัดแย้งคือ สนธิสัญญาอวกาศนอกโลกปี 1967 (Outer Space Treaty) ซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าอวกาศรวมถึงดวงจันทร์เป็น สมบัติส่วนรวมของมนุษยชาติ ไม่สามารถอ้างกรรมสิทธิ์โดยชาติใดชาติหนึ่งได้ สนธิสัญญานี้ย้ำว่าการใช้ทรัพยากรบนดวงจันทร์ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ร่วมกันของทุกประเทศ 

ในเวลาต่อมาสหรัฐฯ ได้ผลักดัน ข้อตกลงอาร์ทิมิส (Artemis Accords) ซึ่งวางแนวปฏิบัติด้านความโปร่งใส ความร่วมมือ และมาตรการลดความเสี่ยง เช่น มาตรา 10 ของข้อตกลงระบุว่า "การสกัดทรัพยากรในอวกาศไม่ได้ถือเป็นการถือครองของชาติโดยเนื้อแท้ภายใต้มาตรา II ของสนธิสัญญาอวกาศนอกโลก" 

รวมไปถึงการกำหนด เขตปลอดภัย (Safety zones) เพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนระหว่างภารกิจสกัดทรัพยากร แม้แนวคิดนี้จะถูกวิพากษ์ว่าอาจตีความเป็นการถือครองพื้นที่โดยพฤตินัย แต่ประเทศกว่า 56 ชาติ รวมไปถึงประเทศไทยได้ลงนาม เป็นสัญญาณถึงความต้องการสร้างบรรทัดฐานร่วมกันในยุคที่การแข่งขันกำลังทวีความเข้มข้น

ขณะเดียวกัน ข้อตกลงดวงจันทร์ ปี 1979 (Moon Agreement) ซึ่งเสนอให้มีระบบบริหารจัดการทรัพยากรระหว่างประเทศอย่างแท้จริง แม้จะถูกมองว่าเป็นกรอบที่ก้าวหน้าที่สุด แต่กลับไม่ถูกลงนามโดยประเทศสำคัญอย่างสหรัฐฯ จีน และรัสเซีย ทำให้บังคับใช้ได้จำกัด นักวิชาการบางส่วนยังมองว่าหากอนาคตมนุษยชาติต้องการใช้ทรัพยากรดวงจันทร์อย่างยั่งยืน ข้อตกลงนี้ คือ กุญแจสำคัญที่ควรหยิบกลับมาเจรจาใหม่ แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อชาติมหาอำนาจมีเจตจำนงทางการเมืองเพียงพอ

ท้ายที่สุด การปกป้องอนาคตของดวงจันทร์ไม่ใช่เพียงเรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องของท่าที และเจตนารมณ์ของมนุษย์ การแข่งขันที่รุนแรงเกินไปอาจทำให้ดวงจันทร์กลายเป็นเวทีแห่งความขัดแย้งเหมือนสมรภูมิอื่นในประวัติศาสตร์ แต่ถ้าประเทศต่าง ๆ เปิดใจร่วมมือกัน 

อวกาศอาจกลายเป็นเวทีทูตที่ทรงพลัง และเป็นเครื่องมือสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมให้มนุษยชาติในระยะยาว การสำรวจดวงจันทร์อย่างสันติและร่วมมือกันจึงไม่ใช่เพียงทางเลือก หากแต่เป็น ความจำเป็นของมนุษย์ในยุคอวกาศ ซึ่งจะกำหนดทิศทางอนาคตของเราในจักรวาลต่อไป

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง