วางเกมรับอุทกภัย รัฐบาลเร่งบูรณาการนโยบาย-ทรัพยากรรับมือฤดูฝน 2568

ภาพรวมสถานการณ์ ฝนมาเร็วกว่าคาด เสี่ยงน้ำหลากรุนแรง
การประชุมติดตามสถานการณ์น้ำที่มี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ร่วมกับผู้ว่าราชการจาก 7 จังหวัดภาคเหนือและอีสาน รวมทั้งหน่วยงานระดับชาติ อาทิ กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บ่งชี้ถึงการตื่นตัวของภาครัฐในการวางยุทธศาสตร์รับมือกับความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล
ประเด็นหลัก คือ ปริมาณฝนที่ “มาเร็วและมาแรง” โดยเฉพาะในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น เชียงราย หนองคาย และบึงกาฬ ซึ่งเริ่มเผชิญกับพายุฝนถี่และหนักกว่าค่าปกติ โดยกรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ปริมาณน้ำฝนในเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคมจะเกินค่าเฉลี่ยหลายพื้นที่ เสี่ยงต่อ น้ำป่าไหลหลาก, น้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่ม
4 แกนหลักยุทธศาสตร์รับมืออุทกภัย
รัฐบาลได้วางแนวทางการดำเนินงานครอบคลุม 4 ด้าน ได้แก่ การแจ้งเตือนภัย, การเตรียมพื้นที่รับมือ, การสื่อสารประชาสัมพันธ์, และการฟื้นฟูเยียวยา โดยย้ำชัดว่าไม่ใช่แค่เตรียมพร้อมเชิงเทคนิค แต่ต้องเน้น บูรณาการหน่วยงาน, ปรับตามบริบทแต่ละพื้นที่, และสร้างเครือข่ายช่วยเหลือ
1. เตือนภัยล่วงหน้า ข้อมูลแม่นยำ ระบบพร้อมใช้
จุดเน้นคือ Early Warning System ที่ต้องพร้อมใช้งานและมีระบบสำรอง โดยใช้ข้อมูลจากหลายหน่วยงาน เช่น GISTDA และกรมทรัพยากรน้ำ ร่วมกันประเมินเส้นทางพายุและฝนตกหนักในแต่ละพื้นที่ พร้อมคาดการณ์ล่วงหน้า 2-3 วัน เพื่อให้หน่วยงานในพื้นที่เตรียมอพยพหรือระบายน้ำได้อย่างทันท่วงที
นอกจากนี้ กรมทรัพยากรธรณีถูกมอบหมายให้เฝ้าระวังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและดินถล่มอย่างใกล้ชิด จากบทเรียนทั้งในไทยและต่างประเทศช่วงที่ผ่านมา
2. เตรียมพื้นที่และอุปกรณ์ช่วยเหลือ
การจัดการทางกายภาพในพื้นที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ กรมชลประทานได้รับคำสั่งให้ รื้อสิ่งปลูกสร้างกีดขวางทางน้ำ, ตรวจสอบอาคารชลศาสตร์, เตรียมเครื่องผลักดันน้ำ, เครื่องสูบน้ำ, รถบรรทุก และอากาศยาน ไว้ประจำ 1,652 จุดเสี่ยงทั่วประเทศ
ภารกิจร่วมของกองทัพบก กองทัพเรือ หน่วยทหารพัฒนา และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย คือการเข้าพื้นที่ ขุดลอกแม่น้ำ, ก่อสร้างคันกั้นน้ำ, และอพยพประชาชน ไปยังศูนย์พักพิงที่จัดตั้งไว้ พร้อมเครื่องครัวสนามและหน่วยแพทย์เคลื่อนที่
3. การสื่อสาร-ประชาสัมพันธ์ ป้องกัน Fake News-สับสน
รัฐบาลเน้นย้ำให้ ทบทวนแผนประชาสัมพันธ์ภัยพิบัติ ร่วมกับระบบ Cell Broadcast, สื่อชุมชน และเครือข่ายจิตอาสาในพื้นที่ โดยเน้นข้อมูลที่ “เร็ว ชัด ถูกต้อง” เพื่อป้องกันความสับสนและการแพร่กระจายของข่าวลวงในสถานการณ์วิกฤติ
นอกจากนี้ ได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเผยแพร่องค์ความรู้เรื่องภัยพิบัติ สอนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงให้รู้วิธีรับมือและขอความช่วยเหลือได้อย่างถูกต้อง
4. ฟื้นฟูหลังน้ำลด เร็ว-ตรงจุด-ทั่วถึง
ในด้านการเยียวยา กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับจังหวัดต่าง ๆ จะดำเนินการ สำรวจความเสียหาย, ประเมินค่าชดเชย, และเร่งจ่ายเงินเยียวยา ทั้งสำหรับที่พักอาศัย พื้นที่เกษตร และทรัพย์สินของรัฐและเอกชน
นอกจากนี้ยังให้จัดตั้ง “ชุดเคลื่อนที่เร็ว” เพื่อเข้าไปล้างบ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และพื้นที่สาธารณะโดยเร็ว โดยเน้นประสานงานกับจิตอาสาและองค์กรไม่แสวงหากำไร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการช่วยเหลือในพื้นที่ห่างไกลและทุรกันดาร
มองไปข้างหน้า บทเรียนแม่สาย กับการกระจายศูนย์ความพร้อม
ข้อสั่งการที่น่าสนใจจากนายประเสริฐคือ การให้ทุกจังหวัด “ถอดบทเรียนจากอำเภอแม่สาย” ที่เคยประสบอุทกภัยรุนแรง นำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับภูมิประเทศ โครงสร้างพื้นฐาน และวิถีชีวิตของแต่ละท้องถิ่น โดยเน้นการสร้างความร่วมมือข้ามหน่วยงาน ทั้งระดับส่วนกลางและท้องถิ่น
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการ “กระจายศูนย์ความพร้อม” สู่จังหวัด และชุมชนท้องถิ่น มากกว่าจะอาศัยคำสั่งจากส่วนกลางเพียงอย่างเดียว
แผนรับน้ำที่มากกว่าการรับมือธรรมชาติ
เมื่อพิจารณาในภาพรวม นโยบายและข้อสั่งการของรัฐบาลในครั้งนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการ “รับมือภัยพิบัติ” แต่ยังเป็นการ ยกระดับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาวะวิกฤติ ให้เป็นระบบที่ยืดหยุ่น เชื่อมโยงหน่วยงาน ใช้เทคโนโลยีทันสมัย และมีจิตอาสาเป็นแรงเสริม
คำถามสำคัญคือ “เมื่อฝนมา เราพร้อมแค่ไหน?”
และมากกว่านั้นคือ “หลังน้ำลด ใครจะลุกขึ้นก่อนเพื่อฟื้นคืนวิถีชีวิต?”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
