“บิ๊กตู่”ประธานเซ็นเอ็มโอยู 7 กระทรวง มุ่งพัฒนาคน ลั่นไม่ต้องการคำเยินยอ แค่ให้รู้ตัวว่าทำดี
“บิ๊กตู่” ประธานลงนามเอ็มโอยู 7 กระทรวงพัฒนาคนตลอดช่วงวัย ย้ำรบ.ให้ความสำคัญการพัฒนากำลังคนของชาติ “ชี้”ไม่มีอะไรแก้ไขได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ระบุถ้าไม่เตรียมความพร้อมจะเจอหนักกว่านี้ ขอทุกคนอย่าสิ้นหวังหรือหมดกำลังใจ เผยเติมใจให้ตัวเองทุกวัน ขอโทษหลายหน่วยงานเข้าไปก้าวก่ายบ้าง “เมิน”คนเยินยอ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 24 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงการบูรณาการความร่วมมือ 7 กระทรวง : การพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต (กลุ่มเด็กปฐมวัย และผู้สูงอายุ) พ.ศ. 2565 – 2569 พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นางสาวตรีนุช เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ และนายสัมพันธ์ ฤทธิเดช เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โดยนายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการพัฒนากำลังพลของชาติ เพราะถือว่าทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งสำคัญ เป็นหัวใจของการพัฒนาประเทศ ดังนั้นการพัฒนาคนทุกช่วงวัยจึงถือเป็นรากฐานสำคัญที่ต้องร่วมมือกันขับเคลื่อนอย่างรอบด้าน รวมทั้งการแก้ไขปัญหาความยากจน การศึกษา รวมทั้งการเข้าถึงการบริการด้านสุขภาพ ซึ่งการพัฒนาเด็กประถมวัยถือเป็นโอกาสแรกที่รัฐบาลให้ความสำคัญ สิ่งสำคัญที่สุดคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กโดยเริ่มจากพ่อแม่ ครอบครัว โรงเรียน สังคม เพราะถ้าเราไม่สร้างภูมิคุ้มกันประเทศจะไม่พร้อมในการเผชิญกับสถานการณ์ รัฐบาลต้องการพลเมืองที่มีคุณภาพ มีคุณค่าต่อสังคม มีจิตสำนึกที่ดี มีความเผื่อแผ่แบ่งปัน เพราะไม่เช่นนั้นเมื่อโตมากขึ้นอาจมีความลำบากในการใช้ชีวิต เรื่องของอาชีพและรายได้ซึ่งรัฐบาลพยายามดูแลไม่ให้เป็นภาระต่อสังคมหรือครอบครัว วันนี้โลกกำลังเดินหน้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มที่โดยเฉพาะประเทศไทยจะเริ่มต้นในปี 2566 นี้ ผู้สูงอายุจะมีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นภาระที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่รัฐบาลต้องดูแลและแก้ปัญหาตรงนี้ โดยต้องสร้างความภาคภูมิใจกับคนเหล่านี้แม้ว่าจะเป็นผู้สูงอายุก็ยังเป็นกลุ่มประชากรที่มีศักยภาพ สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อีกทั้งยังต้องเป็นพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศและขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไปได้
“ในแต่ละงานไม่สามารถทำได้เพียงคนๆเดียว รัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกันในหลายกระทรวง ผมในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บริหาร เป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ ติดตามกำกับดูแล รวมทั้งการริเริ่ม แต่ผู้ปฏิบัติคือรองนายกฯและรัฐมนตรี ซึ่งต้องนำนโยบายไปสู่การขับเคลื่อน นำไปสู่การปฏิบัติร่วมกับหน่วยงานและข้าราชการ เรามีห่วงโซ่ในสายบังคับบัญชา เราจะอ่อนตรงไหนไม่ได้ หรือจะไม่ให้ความสำคัญกับตรงไหนไม่ได้ เพราะทุกคนถือเป็นห่วงโซ่ที่ต้องทำงานไปด้วยกัน สายการบังคับบัญชาหรือช่วงการบังคับบัญชาถ้าทุกคนเอาใจใส่ร่วมมือและบูรณาการงานร่วมกัน ไม่ใช่แค่การพูด จะต้องนำเอางานทั้งหมดมาคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคนหรือการพัฒนา การศึกษา เศรษฐกิจ สังคม ทุกอย่างต้องมาบูรณาการงานร่วมกัน รัฐกำหนดโจทย์ไว้ในยุทธศาสตร์ชาติให้แล้วทั้ง 6 ข้อ ครอบคลุมทั้งหมด ถือเป็นแผนแม่บท ดังนั้นถ้าเราไม่ทำอะไรกันเลยทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้น ถ้าเพียงแต่พูดแล้วไม่ทำหรือไม่ริเริ่ม ไม่มีทางจะเป็นไปได้ ที่ผ่านมาเราทำมาหลายปี ทุกอย่างที่สามารถแก้ไขและมีความพร้อมอย่างเช่นการแก้ไขปัญหาโควิด-19 หรือสถานการณ์การสู้รบที่เกิดขึ้น แม้หลายคนจะมองว่ายังไม่ดีพอหรือไม่พอใจ แต่ถ้าหลายปีที่ผ่านมาเราไม่เตรียมความพร้อมเราจะเจอสถานการณ์ที่หนักกว่านี้ ดังนั้นทุกคนต้องทำงานต่อเนื่องร่วมกันในนามของรัฐบาลที่ต้องแก้ปัญหาและสร้างทัศนคติของคนในสังคมให้ได้ ทำให้ทุกคนเกิดความเข้าใจ และสร้างการรับรู้ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือ”พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ทุกคนอยากได้อะไรที่รวดเร็วจนบางครั้งลืมไปว่าเรามีความร่วมมือกับใครอย่างไรบ้าง ซึ่งจะโทษใครไม่ได้ จึงอยากให้ทุกคนช่วยกันสร้างความรับรู้ว่าถ้าเราจะไปด้วยกันอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนจะต้องร่วมมือกัน รัฐบาลมีหน้าที่จัดระเบียบหาวิธีการทำงาน ขณะเดียวกันต้องทำให้ประชาชนเข้าถึงการบริการ ซึ่งไม่ว่าเราจะคิดอะไรก็ตาม แต่ถ้าไม่สามารถอธิบายให้ประชาชนรับรู้ได้ การเข้าถึงของประชาชนก็จะไม่สำเร็จ วันนี้ขอขอบคุณทุกกระทรวง การทำงานของรัฐบาลมีตั้งแต่ข้างบนลงไปถึงข้างล่าง ข้างบนคือระดับนโยบาย นายกรัฐมนตรี และครม. จนถึงระดับปลัดกระทรวง อธิบดี และนำไปสู่การปฏิบัติของหน่วยงานข้างล่าง ซึ่งประชาชนในพื้นที่ถือเป็นสิ่งสำคัญ และไม่ว่าเราจะทำอะไรให้ดีอย่างไรก็ตามแต่ถ้าขับเคลื่อนข้างล่างไม่ได้จะทำให้เกิดปัญหา
“ขอร้องว่าทุกคนอย่าท้อแท้ สิ้นหวัง หรือหมดกำลังใจ ผมเองพยายามที่จะเติมใจให้ตัวผมเองตลอดเวลาทุกวันว่าต้องทำงานให้สำเร็จตราบใดที่เรายังมีหน้าที่อยู่ หลายอย่างผมอาจจะเข้าไปก้าวล่วงสักนิด อาจจะเตือนเรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือสอบถามว่าเรื่องนี้ทำหรือยัง ถือเป็นหน้าที่ๆผมต้องทำและต้องขอโทษ เพราะมันคือหน้าที่ของคนเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้องทำ อะไรที่แนะนำได้ก็แนะนำ อะไรที่สงสัยก็จะถามไป อะไรที่อธิบายกลับมาผมก็เข้าใจ สิ่งสำคัญที่สุดวันนี้คือการพุ่งเป้าหาเป้าหมายให้เจอ และเริ่มให้ได้โดยเร็วที่สุด และทยอยทำทุกอย่างก็จะเพิ่มมากขึ้น ถ้าทำทีเดียวไม่มีทางสำเร็จ เพราะไม่มีผลงานปรากฏให้คนอื่นรู้ เพราะไม่ได้สร้างการรับรู้ ดังนั้นจึงต้องสร้างการรับรู้จะได้เห็นถึงปัญหาว่าคืออะไร เพราะทุกคนมีปัญหาไม่เหมือนกัน แต่เราต้องรวมพลังมาให้ได้เพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมายที่กำหนด วันนี้เราต้องสร้างทัศนคติ สร้างหลักคิดที่ดี ถูกต้อง สร้างความรักความสามัคคีของคนในชาติ ถ้าพูดเพียงหลักการอย่างเดียวก็จะได้เพียงหลักการ ถ้าแก้ง่ายคงแก้กันไปนานแล้ว เราพยายามทำหลายอย่างทั้งของเก่าและของใหม่ และอนาคต ต้องสร้างการรับรู้ให้ประชาชนให้ได้ว่าเราทำไปหมดแล้ว อยู่ที่ว่าจะเดินหน้าไปได้มากน้อยแค่ไหนในช่วงเวลาที่มี ประชาชนต้องรับรู้ว่าได้รับการดูแลไปแล้วมากน้อยแค่ไหน และย้อนกลับไปดูว่าได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง”นายกฯกล่าว
นายกฯ กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญคือต้องการประชาชนที่มีศักยภาพสูง แต่สิ่งสำคัญคือการสร้างหลักคิดของประชาชนขึ้นมาให้ได้ เราเป็นคนไทยเป็นคนช่างคิดอยู่แล้ว มีวรรณคดีมีอะไรต่างๆมากมาย คนไทยช่างคิด และมีความโรแมนติกอะไรอยู่เยอะแยะไปหมด ค่อนข้างที่จะอ่อนไหวง่าย แล้วจะทำอย่างไรให้เขามั่นคงกับสิ่งที่เราทำให้ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ตนถือว่าทั้งหมดเป็นความท้าทาย อย่างยิ่งยวด สำหรับทุกหน่วยงานทุกภาคส่วน ที่จะต้องหาวิธีการที่เหมาะสมติดตามเอาใจใส่ สร้างความร่วมมือระหว่างการให้ได้จากภาคประชาชนให้เข้าถึงการบริการภาครัฐให้ได้ เราคิดเราทำเปิดช่องทางให้เขาเข้าถึง และต้องอดทนกับการแก้ไขปัญหา ไม่มีปัญหาอะไรที่จะแก้ได้ด้วยการพูดไม่กี่คำหรือทำไม่กี่ปี หลายอย่างต้องทำอย่างต่อเนื่อง และเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสร้างการเรียนรู้ ให้ได้มากขึ้น เพื่อให้สังคมเราปลอดภัยสันติสุขสงบนั่นคือความมั่นคงมั่งคั่งและยั่งยืนอย่างแท้จริงในทุกมิติ
“ผมไม่ต้องการคำเยินยอ หรืออะไรต่างๆจากใครทั้งสิ้น ขอให้ภูมิใจจากสิ่งที่เราทำ เราทำดีก็รู้ตัวว่าเราทำดี เราทำไม่ดีก็รู้ตัวว่าเราทำไม่ดี ทำไม่ดีก็แก้ไขเท่านั้นเอง ทำไม่ดีก็แก้ไขซะเท่านั้นเอง ทำดีอยู่แล้วก็ทำให้ดีมากขึ้นทุกวัน นั่นคือสิ่งที่ผมคิดมาโดยตลอด และผมก็คิดว่าทุกคนร่วมมือกับผมมาด้วยดีเสมอมา” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว