รถหรูก็ไม่รอด? ยุโรปปลดคนครั้งใหญ่ หวั่นลามเศรษฐกิจโลก

ค่ายรถยุโรป ปลดคนครั้งใหญ่ เสี่ยงลามเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมยานยนต์โลก อยู่ท่ามกลางมรสุมครั้งใหญ่ ไม่ใช่เพียงแค่ค่ายรถญี่ปุ่น หรือจีน ที่เจอกับมาตรการกีดกันทางการค้า หรือภาษีทรัมป์ แต่สำหรับค่ายรถยุโรป หรือกลุ่มรถหรูๆ แพงๆ ก็มีความเสี่ยงไม่น้อยเช่นกัน ล่าสุด ดูเหมือนว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ของยุโรปวันนี้ กำลังอยู่ในภาวะสั่นคลอนอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีรายงานข่าวว่า บริษัท "Valmet Automotive" จากฟินแลนด์ ซึ่งเป็นผู้รับจ้างผลิตรถยนต์ให้กับ Mercedes-Benz ประกาศหยุดสายการผลิตและเตรียมลดพนักงานกว่า 1,075 ตำแหน่ง คิดเป็นเกือบ 30% ของแรงงานทั้งหมด
บริษัทฯ ระบุในแถลงการณ์ บอกว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการปรับจังหวะการผลิตในโรงงานบางแห่งในยุโรป โดยมีเป้าหมายที่จะปรับอัตราการผลิตให้สอดคล้องกับตลาดยุโรปที่มีความท้าทายมากขึ้น พร้อมกับบริหารจัดการสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดภายในสิ้นปีนี้
"Valmet Automotive" คือใคร นี่คือบริษัทที่เคยเป็นกำลังหลักในการประกอบรถรุ่นดังของ "Mercedes-Benz" ไม่ว่าจะเป็น A-Class, SUV GLC และสปอร์ต Mercedes-AMG GT Coupé ซึ่งนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา โรงงานในฟินแลนด์ได้กลายเป็นฐานการผลิตสำคัญของยุโรป การปลดพนักงานครั้งนี้ไม่เพียงทำให้ครอบครัวนับพันต้องเผชิญความไม่มั่นคง แต่ยังบีบให้ Mercedes-Benz ต้องเร่งทบทวนกลยุทธ์ด้านการผลิต ขณะที่ Valmet เองก็ประกาศปรับทิศทางเข้าสู่ธุรกิจป้องกันประเทศและแยกธุรกิจแบตเตอรี่ไปเป็นบริษัทใหม่ เพื่อเอาตัวรอดท่ามกลางแรงกดดัน
และนอกจากนี้ ปรากฎว่าไม่ใช่เพียงแค่ Mercedes-Benz เท่านั้นที่กำลังเจอกับปัญหา เพราะยังมีค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง "Stellantis" เจ้าของแบรนด์ Fiat, Alfa Romeo, Opel และ Jeep ที่ล่าสุดได้ออกมาประกาศหยุดสายการผลิตชั่วคราวทั้งในอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี โปแลนด์ และสเปน เช่นกัน ซึ่งหมายความแรงงานต่างๆในโรงงานเหล่านี้ จะไม่มีงานทำต้องถูกพักงานไปโดยปริยาย และความเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็บ่งบอกให้เราได้รู้ว่าตลาดรถหรูกำลังหดตัวลง
ปีนี้คือปีที่สาหัสไม่น้อย สำหรับค่ายรถ สำนักข่าว Bloomberg และ Reuters รายงานตรงกันว่า ยอดจดทะเบียนรถใหม่ในยุโรปตลอด 7 เดือนแรกของปีนี้ชะงักงัน หรือแทบไม่เติบโต อยู่เพียงแค่ประมาณ 7.9 ล้านคัน โดยเฉพาะยอดขายของ Stellantis กลับร่วงลงถึง 8% เหลือเพียง 1.19 ล้านคัน สะท้อนว่าบริษัทกำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐฯ ที่ถูกกดดันจากภาษีนำเข้า ขณะที่คำสั่งซื้อจากองค์กรและบริษัทเช่ารถก็ลดลงมากในช่วงปลายปี
ความสั่นสะเทือนยังลามไปถึง "Porsche" ซึ่งตัดสินใจปรับลดคาดการณ์รายได้ในปีนี้ (ปี 2025) ลงจากเดิม คาดว่าเหลือกำไรไม่เกิน 2% จากเดิมที่คาดไว้ถึง 5–7% สาเหตุหลักมาจากการชะลอแผนการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ เนื่องจากความต้องการรถไฟฟ้าทั้งใน 2 ตลาดสำคัญ คือ ในยุโรปและจีนต่างก็อ่อนแรงลงไป นอกจากนี้ยังต้องเผชิญแรงกดดันจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯอีกด้วย และเรื่องนี้ก็ส่งผลกระทบไปถึงบริษัทแม่อย่าง Volkswagen ที่ทำให้ต้องหั่นหรือปรับลดคาดการณ์ตามไปด้วย มูลค่าความเสียหายรวมมากกว่า 6,000 ล้านดอลลาร์
เปรียบได้ว่า นี่คือช่วงเวลาของทางแยก และการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ ของวงการรถยุโรป รอยเตอร์ส รายงานว่า ตลาดรถยนต์ในยุโรปในวันนี้ กลุ่มรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) กำลังเติบโตอย่างมาก เพราะเป็นทางเลือกที่ประหยัดและอยู่กึ่งกลางระหว่างรถเครื่องยนต์ล้วนกับรถไฟฟ้าล้วน และยังผลักดันให้ยอดขายของผู้ผลิตรถยนต์จีน เติบโตขึ้นแซงแบรนด์ยุโรปบางแบรนด์
และสิ่งที่น่าจับตามากที่สุด และเป็นตัวเปลี่ยนเกม ก็คือ การรุกตลาดของค่ายจีน หรือผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศจีน โดยเฉพาะ BYD, SAIC และ Chery ที่มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ในราคาที่ถูกกว่ารถยุโรปอย่างมาก ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจากข้อมูลของ JATO Dynamics พบว่าค่ายรถจีนสามารถทำยอดขายรถในยุโรปได้มากกว่า 43,500 คัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 121% เมื่อเทียบกับปีก่อน และมีส่วนแบ่งตลาด มากถึง 5.5% แซงหน้าหรือปาดหน้าเรียบทั้ง เรอโนลต์ (Renault) ที่ขายได้ 41,300 คัน และ อาวดี้ (Audi) ที่ทำยอดไป 37,800 คัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยอดฮิต รุ่น Seal U จาก BYD และ MG HS ของ SAIC ติดอันดับท็อปเท็นรถปลั๊กอินไฮบริดขายดีที่สุดในยุโรป เป็นการตบหน้ายุโรปอย่างแรง ในฐานะที่เคยเป็นเจ้าตลาดและผูกขาดด้วยแบรนด์เก่าแก่มาอย่างช้านาน นี่คือสัญญาณชัดเจนว่าคนซื้อรถ หรือผู้บริโภค กำลังเปลี่ยนทิศไป และกำลังมองหาทางเลือกใหม่ที่ถูกกว่าหรือคุ้มค่ากว่า
เศรษฐกิจ "ยุโรป" บนความท้าทาย บริษัทยักษ์ใหญ่พากันปลดคน
วิกฤตครั้งนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่ที่อุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังสะท้อนการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจยุโรปในภาพรวม หลายบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ต่างพากันปลดพนักงานเพื่อลดต้นทุน
การปลดพนักงานลามไปแทบทุกอุตสาหกรรม เริ่มจากอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) ที่ประกาศเมื่อวันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา บอกว่าบริษัทลดพนักงานในเยอรมนีไปแล้วราว 7,000 คน นับตั้งแต่เริ่มมาตรการลดต้นทุนเมื่อปลายปี 2566
วอลโว่ คาร์ (Volvo Cars) ของสวีเดน เปิดเผยเมื่อเดือนพฤษภาคม ระบุว่าจะปลดพนักงานประจำสำนักงานจำนวน 3,000 ตำแหน่ง เป็นส่วนหนึ่งของการปรับโครงสร้างใหญ่ที่ และสเตลแลนทิส (Stellantis) ของเนเธอร์แลนด์ ขยายโครงการลาออกโดยสมัครใจในอิตาลี ซึ่งจะทำให้พนักงานที่ถูกปรับลดมีจำนวนอยู่ที่เกือบ 2,500 ตำแหน่งภายในปีนี้ 2568
รวมไปถึงกลุ่มสถาบันการเงิน ธนาคารยักษ์ใหญ่อย่าง คอมเมิร์ซแบงก์ (Commerzbank) ของเยอรมนี ปรับลดตำแหน่งงานราว 3,900 ตำแหน่งภายในปี 2571 ขณะเดียวกันก็มีรายงานว่า ธนาคารลอยด์ (Lloyds Bank) ของอังกฤษ อาจพิจารณาปลดพนักงานราวครึ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งหมด 3,000 คนเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย
ส่วนในกลุ่มอุตสาหกรรมและวิศวกรรม ซีอีโอของบริษัทเอสทีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (STMicroelectronics) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนฝรั่งเศส-อิตาลี คาดว่าพนักงาน 5,000 คนจะออกจากบริษัทภายในสามปีข้างหน้า รวมถึงแผนปรับลดพนักงาน 2,800 ตำแหน่งในปี 2568
สำหรับกลุ่มสินค้าอุปโภคแบรนด์หรูนั้น บริษัทเบอร์เบอร์รี (Burberry) จากอังกฤษ ประกาศเมื่อเดือนพฤษภาคม ว่าจะลดพนักงาน 1,700 ตำแหน่ง หรือประมาณหนึ่งในห้าของพนักงานทั่วโลกเพื่อควบคุมค่าใช้จ่าย ส่วนโมเอต์ เฮนเนสซี่ (Moet Hennessy) ซึ่งอยู่ในเครือแอลวีเอ็มเอช โมเอต์ เฮนเนสซี่ หลุยส์ วิตตอง (LVMH) มีแผนลดพนักงานประมาณ 1,200 ตำแหน่ง
การปรับลดพนักงานยังขยายวงกว้างไปถึงธุรกิจสายการบิน โดยสายการบิน ลุฟท์ฮันซ่า (Lufthansa) ของเยอรมนี เพิ่งประกาศเมื่อวันที่ 28 กันยายน ว่าจะลดตำแหน่งงานด้านบริหารจัดการ 4,000 ตำแหน่งภายในปี 2573
และล่าสุด อินเทล (Intel) ยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมชิปก็เลือกจะถอยออกจากยุโรปเช่นกัน โดยประกาศปลดพนักงานกว่า 24,000 คนในปีนี้ คิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของพนักงานทั่วโลก พร้อมยุติโครงการโรงงานในเยอรมนีและโปแลนด์ที่เคยหวังสร้างงานกว่า 5,000 ตำแหน่ง
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
