ถอดรหัส "คนละครึ่ง" กระตุ้นเศรษฐกิจ จับตาปรับเงื่อนไข "ร้านค้า" หรือไม่ ?

ถอดรหัส "คนละครึ่ง" 1.0 กระตุ้นเศรษฐกิจได้มากน้อยแค่ไหน?
ย้อนกลับไป "คนละครึ่ง" ครั้งแรกภายใต้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เริ่มโครงการครั้งแรกในปี 2563 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคระบาด "วิกฤตโควิด-19"
มีการดำเนินการทั้งหมด 5 ระยะ เริ่มตั้งแต่้ช่วงปี 2563 - 2565 มีผู้ร่วมใช้สิทธิประมาณ 30 ล้านคน พบว่ามีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 1.8 เท่า และ SMEs ร้านค้ารายย่อย มียอดขายเพิ่มขึ้น 174%
แบ่งเป็นระยะดังนี้
ระยะที่ 1 : ไตรมาส 4 ปี 2563
งบประมาณ 30,000 ล้านบาท
เงินหมุนเวียน 49,050 ล้านบาท
ระยะที่ 2 : ไตรมาส 2 ปี 2564
งบประมาณ 22,500 ล้านบาท
เงินหมุนเวียน 53,015 ล้านบาท
ระยะที่ 3 : ครึ่งหลัง ปี 2564
งบประมาณ 126,000 ล้านบาท
เงินหมุนเวียน 223,922 ล้านบาท
ระยะที่ 4 : ไตรมาส 1 ปี 2565
งบประมาณ 38,400 ล้านบาท
เงินหมุนเวียน 61,835 ล้านบาท
ระยะที่ 5 : ไตรมาส 3 ปี 2565
งบประมาณ 21,200 ล้านบาท
เงินหมุนเวียน 36,022 ล้านบาท
รอเงื่อนไขฝั่ง "ร้านค้า" ยกเครื่อง ขยายโอกาสถึงกลุ่มร้านค้าในระบบภาษี เพิ่มพลังกระตุ้นเศรษฐกิจ
หลังจากนี้จับตาไปที่ "คนละครึ่ง(พลัส)" ของรัฐบาลชุดนี้ ภายใต้การนำของ "นายอนุทิน ชาญวีรกูล" นายกรัฐมนตรี ว่าจะเป็นไปในรูปแบบใด และสร้างแรงหมุนทางเศรษฐกิจได้ตามที่คาดการณ์หรือไม่ จากงบประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยเฉพาะเงื่อนไขทางฝั่งร้านค้าและผู้ประกอบการ ว่าจะมีการปรับหรือขยายโอกาสมากขึ้นหรือไม่
โครงการ “คนละครึ่ง” ยุคแรก เปิดตัวในปี 2563 (สมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายหลังโควิด-19 โดยให้รัฐช่วยออกเงินครึ่งหนึ่งในการซื้อสินค้าจากร้านที่เข้าร่วม ซึ่งร้านค้าที่มีสิทธิ์เข้าร่วมในยุคแรกมีเงื่อนไขค่อนข้างจำกัด
ร้านค้าที่เข้าร่วมได้
• ร้านค้ารายย่อย ทั่วไป เช่น ร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม ร้านขายของชำ ร้านธงฟ้า
• ผู้ค้าหาบเร่ แผงลอย ที่ขายอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน
• ร้านที่อยู่ในระบบ “ถุงเงินประชารัฐ” ซึ่งเป็นแอปที่รัฐใช้กับโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาก่อนหน้านี้
ร้านค้าที่ ไม่มีสิทธิ์ เข้าร่วมในช่วงแรก
• ร้านสะดวกซื้อรายใหญ่ ที่เป็นนิติบุคคล
• ร้านค้าหรือกิจการที่เป็น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลอดภาษี
• ร้านค้าขายสินค้า ต้องห้าม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ สลากกินแบ่ง น้ำมันเชื้อเพลิง ทองคำ
เงื่อนไขสำคัญ
• ร้านค้าต้อง สมัครเข้าร่วมผ่านธนาคารกรุงไทย และใช้แอปพลิเคชัน “ถุงเงิน” เพื่อรับเงินจากลูกค้าที่ใช้สิทธิคนละครึ่ง
• ร้านค้าต้องเป็น บุคคลธรรมดา เท่านั้น ไม่ใช่นิติบุคคล
• ต้องขาย สินค้า/บริการในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟือย
ดังนั้น จากเงื่อนไข "คนละครึ่ง" เดิม ที่มีนโยบายการจำกัดร้านค้า หมายความร้านค้าที่จดทะเบียนเป็น "นิติบุคคล" จะไม่สามารถเข้าร่วมได้ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวประกอบไปด้วย SMEs กว่า 9 แสนราย หรือคิดเป็นถึง 30% ของผู้ประกอบทั้งหมดในประเทศไทย ตั้งแต่ภาคการผลิต เกษตร การค้าและบริการ โดยข้อมูลการจัดเก็บ VAT เมื่อปี 2567 พบว่าอยู่ที่ 947,000 ล้านบาท รวมไปถึง Modern Trade ที่ไม่ได้เข้าร่วม ก็เป็นช่องทางขายสินค้าให้ SMEs ต่างๆ มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ คิดเป็น 20-25% ของ GDP ไทย และเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงเวลาที่เวลาโดยตลอด ซึ่งรายได้เหล่านี้ได้กระจายกลับเข้าสู่ชุมชนปีละหลายหมื่นล้านบาท พร้อมระบบ POD, e-Tax และ Data Analytics ที่รองรับการตรวจสอบแบบ Real Time
ล่าสุดมีเสียงทั้งจากภาคธุรกิจ ตั้งแต่ระดับ SMEs ไปถึงหอการค้า และตัวแทนภาคธุรกิจต่าง ที่ย้ำว่าหากมีการขยายเงื่อนไขไปยังฝั่งร้านค้าด้วย ก็จะเพิ่มแรงกระตุ้นได้อีก โดยเฉพาะการให้ Modern Trade เข้าร่วม จะช่วย SMEs ไทยได้ทั้ง Value Chain
นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร และที่ปรึกษาสมาคมโฮสเทล ประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับรายการคนชนข่าวทาง TNN ระบุว่า การขยายโครงการไปยังร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษีถือเป็นเรื่องที่ถูกทาง เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจทั้งต่อรัฐและประชาชนผู้ใช้สิทธิ เนื่องจากร้านที่เข้าร่วมจะต้องมีเอกสารทางภาษีและการดำเนินธุรกิจที่ตรวจสอบได้ ทำให้ระบบการใช้จ่ายในโครงการโปร่งใสกว่าเดิม และยังช่วยปิดช่องโหว่การทุจริตหรือการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง
สรเทพอธิบายเพิ่มเติมว่า หากร้านค้าจำนวนมากเข้ามาอยู่ในระบบภาษี ผลลัพธ์ที่จะตามมาคือการเพิ่มความเข้มแข็งให้กับโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เงินภาษีจะถูกจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันเม็ดเงินที่รัฐอัดฉีดผ่านโครงการก็จะหมุนเวียนไปยังธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายและมีมาตรฐาน การดำเนินการเช่นนี้ไม่เพียงช่วยเหลือร้านค้าที่ปฏิบัติถูกต้องเท่านั้น แต่ยังเป็นการกดดันให้ร้านค้าที่อยู่นอกระบบตัดสินใจเข้าสู่ระบบ เพื่อจะได้ไม่เสียโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เขาก็ย้ำถึงความท้าทายสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม คือร้านค้ารายเล็กหรือผู้ประกอบการในชุมชนจำนวนมากยังไม่มีความพร้อมด้านเอกสารและระบบภาษี การกำหนดเงื่อนไขเข้าร่วมโครงการจึงต้องมีความเหมาะสม ไม่เข้มงวดจนร้านเล็กไม่สามารถเข้าถึงสิทธิได้ รัฐบาลควรหาทางออกด้วยการจัดอบรม ให้ความรู้ด้านบัญชีและภาษี รวมถึงออกแบบกระบวนการสมัครที่ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ร้านค้ารายย่อยสามารถปรับตัวและเข้าสู่ระบบได้จริง
ในมุมของภาพรวมเศรษฐกิจ สะท้อนว่าหากรัฐบาลสามารถผลักดันโครงการคนละครึ่งรูปแบบใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง จะก่อให้เกิดผลดีหลายด้าน ทั้งการกระตุ้นการใช้จ่ายของประชาชน การสร้างความโปร่งใสในระบบเศรษฐกิจ และการเพิ่มรายได้ภาษีที่มั่นคงขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นมาตรการที่ให้รางวัลแก่ผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจเชิงบวกให้ระบบภาษีของไทยมีความเข้มแข็งกว่าเดิม
แต่ทั้งหมดนี้จะประสบความสำเร็จได้หรือไม่ ยังคงขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่รัฐบาลจะประกาศออกมา ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขการเข้าร่วม ระดับความเข้มงวดของการตรวจสอบ และมาตรการสนับสนุนร้านเล็ก หากทำได้สมดุล ระหว่างความโปร่งใสกับการเข้าถึงสิทธิ โครงการคนละครึ่งที่กำลังจะกลับมาครั้งนี้อาจไม่เพียงช่วยฟื้นเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นในการยกระดับระบบภาษีและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย
นี่คือข้อเสนอ เพื่อยกระดับมาตรการ "คนละครึ่ง" ที่จะช่วยทั้งผู้บริโภค และสร้างความเทียมให้แก่ผู้ประกอบการทุกราย และทำให้เงินภาษีหมุนเวียนกลับสู่เศรษฐกิจไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
คืบหน้า โครงการ "คนละครึ่ง(พลัส)" รัฐบาล "อนุทิน"
ล่าสุดข้อมูล ณ วันที่ 26 กันยายน 2568 คาดว่ารัฐบาลอนุทิน จะมีการดำเนินการถึง 2 ระยะ(เฟส) อ้างอิงจากจากนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึง โครงการคนละครึ่งของรัฐบาลอนุทิน จะมี 2 เฟสใช่หรือไม่ รัฐมนตรีคลังระบุว่า “คิดว่า กำลังดูอยู่”
ขระที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้ออกมายืนยันว่า มีเฟส 2 อย่างแน่นอน โดยระบุว่า ตอนนี้ท่านรัฐมนตรีได้รับนโยบายจากนายกรัฐมนตรี ให้ดูเรื่องคนละครึ่ง เฟส 2 อยู่ ซึ่งจะเป็นอย่างไรต้องรอติดตาม ให้จบเฟส 1 ก่อน ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงเดือน ธันวาคม 2568 หรือ มกราคม 2569
พร้อมกันนี้ยังได้เปิดรายละเอียด โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 1 มีประมาณ 33 ล้านสิทธิ คาดเริ่มต้นเดือนตุลาคมนี้ ผู้มีสิทธิต้องอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้
1. “ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” จำนวน 13 ล้านคน
รัฐบาลจะเติมเงินให้อีก 1,700 บาท ซึ่งจากเดิมให้อยู่แล้ว 300 บาท แต่เติมเพิ่มอีก 1,700 บาท รวมจะได้เงินทั้งหมด 2,000 บาท ทั้งนี้ จะเติมให้ครั้งเดียวเท่านั้น
ใช้ได้ 2 เดือน ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2568
2. “ผู้ที่ไม่ได้อยู่ในระบบภาษี” จำนวน 9 ล้านคน
คนละครึ่ง 50:50 จะได้เงินคนละ 2,000 บาท จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท
ใช้ได้ 2 เดือน ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2568
3. “ผู้ที่อยู่ในระบบภาษี” จำนวน 11 ล้านคน
คนละครึ่ง 50:50 จะได้เงินคนละ 2,400 บาท จ่ายได้วันละไม่เกิน 200 บาท
ใช้ได้ 2 เดือน คือ ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2568
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
