ไทยยัง “หอมหวาน” นักลงทุนต่างชาติ เงินทะลักกว่า 47,000 ล้านใน Q1/68

เงินลงทุนต่างชาติทะลุ 47,000 ล้านใน Q1/68 นักลงทุนญี่ปุ่น-จีน-สหรัฐฯ แห่ลงทุน EEC รัฐบาลผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย-พัฒนาแรงงานไทย
ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวน การเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศกำลังพัฒนาอาจถูกจับตาเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่ยังคงรักษาเสถียรภาพการลงทุนได้อย่างน่าสนใจ — ประเทศไทยคือหนึ่งในนั้น
จากรายงานล่าสุดของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม–มีนาคม) พบว่า ประเทศไทยยังสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติได้มากถึง 47,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจำนวนกิจการที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจภายใต้กฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวอยู่ที่ 272 ราย เพิ่มขึ้น 53%
การเพิ่มขึ้นของเม็ดเงินลงทุนและจำนวนกิจการนี้ ไม่เพียงสะท้อนถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 แต่ยังชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยยังเป็น “จุดยุทธศาสตร์” สำคัญในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ ที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านเสถียรภาพเชิงนโยบายและศักยภาพของแรงงานท้องถิ่น
EEC ยังฮอต! ญี่ปุ่น-จีน-สหรัฐฯ แห่ลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมาย
ในมุมของภูมิศาสตร์เศรษฐกิจ การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ยังคงแข็งแกร่งอย่างมีนัยสำคัญ โดยในไตรมาสแรก มีนักลงทุนต่างชาติ 88 รายเลือกลงทุนในพื้นที่นี้ คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนทั้งหมด และคิดเป็น 52% ของมูลค่าการลงทุนรวม
สิ่งที่น่าสังเกตคือ นักลงทุนจากญี่ปุ่น ยังครองแชมป์อันดับหนึ่งทั้งในด้านจำนวนและมูลค่าเงินลงทุน (15,915 ล้านบาท) โดยเฉพาะในสาขาเทคโนโลยีขั้นสูง อุตสาหกรรมระบบราง พลังงาน และยานยนต์ไฟฟ้า ตามด้วย จีน และ สหรัฐอเมริกา ซึ่งตอกย้ำว่าไทยยังคงเป็น “ศูนย์กลางการผลิตและนวัตกรรม” ของภูมิภาค
บทเรียนจากอดีต สู่การยกระดับนโยบายการลงทุนเชิงรุก
แม้ไทยจะไม่ใช่ประเทศต้นทุนต่ำที่สุดในภูมิภาคเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน แต่รัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยการนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ได้ปรับยุทธศาสตร์การลงทุนจาก “การแข่งด้านต้นทุน” สู่ “การสร้างคุณค่า”
รัฐบาลเดินหน้า ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve Industry) เช่น พลังงานอัจฉริยะ ยานยนต์ไฟฟ้า หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ
เร่ง พัฒนาแรงงานไทย ให้มีทักษะรองรับเทคโนโลยีใหม่ ผ่านความร่วมมือกับภาคเอกชนต่างชาติ
สนับสนุนการถ่ายทอด องค์ความรู้เฉพาะทาง เช่น ระบบจัดการ EV, ระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ, ระบบซอฟต์แวร์ด้านพลังงาน
ทั้งหมดนี้สะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการ สร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่เพียงดึงเงินลงทุน แต่ยังดึง “ความรู้” และ “โอกาสการจ้างงานคุณภาพ” เข้ามาด้วย
เม็ดเงินคือผลลัพธ์ นโยบายคือแรงขับเคลื่อน
ตัวเลขการลงทุน 47,000 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี ไม่ใช่เพียงตัวเลขบนกระดาษ หากแต่เป็นผลลัพธ์ของนโยบายที่สอดรับกับบริบทโลกและความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม
เมื่อรัฐบาลแสดงให้เห็นถึง ความต่อเนื่องของนโยบาย, ความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน, และ ทักษะแรงงานที่พัฒนาได้จริง — ความเชื่อมั่นจากต่างชาติย่อมตามมา
แม้ไทยจะยังมีโจทย์ใหญ่รออยู่ เช่น ความสามารถในการแข่งขันด้านเทคโนโลยีขั้นสูง และการเร่งปิดช่องว่างทักษะระหว่างแรงงานไทยกับมาตรฐานสากล แต่ทิศทางปัจจุบันที่รัฐบาลกำลังผลักดัน ก็ถือเป็น “จังหวะที่ใช่” สำหรับการฟื้นพลังการลงทุนไทยในเวทีโลก