“แบตเตอรี่” จากฝุ่นดวงจันทร์ สร้างจาก AI เตรียมบอกลา Lunar Night กลางคืนที่ต้องหยุดภารกิจ 14 วัน

บริษัท อิสตาริ ดิจิทัล (Istari Digital) สตาร์ทอัปจากสหรัฐฯ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประกาศความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่แบบ Solid-State มีจุดเด่นอยู่ที่การใช้ผงฝุ่นดวงจันทร์ (Moon Dust) เป็นส่วนประกอบหลักและเป็นการพลิกโฉมการใช้ทรัพยากรนอกโลก (In-Situ Resource Utilization หรือ ISRU) ถือเป็นอีกหนึ่งความก้าวหน้าครั้งสำคัญในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ของบลู ออริจิน (Blue Origin)
นวัตกรรมนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับภารกิจสำรวจดวงจันทร์โดยเฉพาะ อีกทั้งยังเป็นแหล่งพลังงานที่ทนทานและมีประสิทธิภาพสำหรับยานลงจอดบนดวงจันทร์ที่ต้องเผชิญกับช่วงกลางคืนที่ยาวนานและขาดแคลนพลังงาน การพัฒนาครั้งนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการพึ่งพาตนเองในอวกาศอย่างยั่งยืนอีกด้วย
แบตเตอรี่จากฝุ่นดวงจันทร์ (Moon Dust Battery) ไม่ได้เป็นเพียงการพัฒนาจากการประกอบชิ้นส่วน แต่เป็นนวัตกรรมที่เกิดจากการทำงานร่วมกับ AI มาใช้ในการพัฒนาตั้งแต่ต้นแบบจนถึงการจำลองการใช้งานจริง โดยการออกแบบอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่คล้ายเครื่องดูดฝุ่นดวงจันทร์ (Moon Vacuum) เพื่อดึงพลังงานความร้อนจากฝุ่นดวงจันทร์ ซึ่งเป็นผงหินละเอียดและเป็นส่วนประกอบที่มักสร้างความเสียหายให้ตั้งแต่ชุดนักบินอวกาศไปจนถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่ AI ได้ช่วยพัฒนาให้วัสดุดังกล่าวมีความทนทานสูงแล้วแปลงมาเป็นแบตเตอรี่ที่สมารถรับมือรังสีและอุณหภูมิแปรปรวนบนดวงจันทร์ได้เป็นอย่างดี
การร่วมมือกับ Blue Origin ในภารกิจ Blue Moon มีความสำคัญอย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาใหญ่ของภารกิจบนดวงจันทร์ที่ยืดเยื้อยาวนานมากหลายทศวรรษ นั่นก็คือปัญหา "ช่วงเวลากลางคืนบนดวงจันทร์" (Lunar Night) โดยทั่วไปยานอวกาศที่ปฏิบัติภารกิจบนพื้นผิวดวงจันทร์จะถูกจำกัดด้วยเวลากลางคืนของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลา 2 สัปดาห์ทุกๆ 28 วัน ซึ่งดวงจันทร์จะมืดลงและอุณหภูมิจะลดลงอย่างมาก ทำให้ฮาร์ดแวร์เสียหายและไม่สามารถใช้งานได้
แบตเตอรี่นี้จึงมีบทบาทสำคัญในการเข้ามาช่วยทำให้ยานอวกาศและอุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่องและยาวนานขึ้น การใช้ทรัพยากรบนดวงจันทร์เช่นนี้ไม่เพียงแต่ลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัสดุจำนวนมากจากโลก แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างฐานปฏิบัติการระยะยาวบนดวงจันทร์อีกด้วย
ความสำเร็จของการพัฒนาครั้งนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงพลังของ AI ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประมวลผลข้อมูล แต่ได้ก้าวไปสู่การเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ทางวิศวกรรมที่สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนของการสำรวจอวกาศได้ โดยวิลล์ โรเปอร์ (Will Roper) ผู้บริหารของ Istari Digital ได้ให้สัมภาษณ์กับ CNBC ว่านี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญจากการพึ่งพาทรัพยากรโลกไปสู่การใช้สิ่งที่มีอยู่ในอวกาศเพื่อสร้างพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานในการผลักดันการตั้งถิ่นฐานบนดวงจันทร์และดาวอังคารในอนาคตให้ใกล้ความจริงยิ่งขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
