รีเซต

วิกฤตหนี้สหรัฐฯ "36 ล้านล้านเหรียญ" ที่ "ทรัมป์" ต้องแบกหลังแอ่น

วิกฤตหนี้สหรัฐฯ "36 ล้านล้านเหรียญ"  ที่ "ทรัมป์" ต้องแบกหลังแอ่น
TNN ช่อง16
2 มิถุนายน 2568 ( 08:00 )
38

สหรัฐฯ มีหนี้ 36 ล้านล้านดอลลาร์ 

เป็นหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก หมายความว่าอย่างไร 

แล้วทำไมถึงเป็นหนี้ได้


หนี้ท่วมประเทศ 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินกว่าจีดีพีของสหรัฐอเมริกาถึงกว่า 120% หรือใหญ่กว่าเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง


เวลานี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ  ก็กำลังแบกหนี้ที่ว่านี้ไว้จนหลังแอ่น  และเป็นเหตุผลสำคัญที่สหรัฐฯ โดนลดชั้นหั่นอันดับเครดิต หรือถูกลดความน่าเชื่อถือลง 


 Moody's Ratings ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เมื่อวันที่16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา 

โดยมูดี้ส์ Moody's ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ

จากระดับทริปเปิลเอ Aaa หล่นลงมาอยู่ที่ Aa1 

ซึ่งถือเป็นการปรับระดับความน่าเชื่อถือลงมาจากระดับสูงสุดในกลุ่มทริปเปิลเอ AAA 

เช่นเดียวกับอีกสองค่าย คือ Fitch Ratings และ S&P Global Ratings 

ที่พากันปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯไปแล้วก่อนหน้านี้

โดยในเดือนสิงหาคม ปี 2023 บริษัท Fitch Ratings  

ได้ลดระดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลงหนึ่งระดับเป็น AA+ 

อ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองเกี่ยวกับเพดานหนี้

ที่ทำให้ประเทศเกือบจะต้องผิดนัดชำระหนี้

ขณะที่ บริษัท S&P Global Ratings เป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตรายใหญ่แห่งแรก

ที่ลดระดับความน่าเชื่อถือจากระดับทริปเปิล AAA ของสหรัฐฯ ลงในปี 2011 

และถูกกระทรวงการคลังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในขณะนั้น


บลูมเบิร์ก รายงานว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวครั้งนี้ของมูดี้ส์เกิดขึ้น

หลังจากที่ Moody's ได้เปลี่ยนมุมมองต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯเป็นลบกว่าหนึ่งปี 

โดยปัจจุบัน Moody's ให้แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ


Moody's ระบุในแถลงการณ์ว่า 

แม้ว่าเราจะรับรู้ถึงจุดแข็งทางเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญของสหรัฐฯ 

แต่เราเชื่อว่าจุดแข็งเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยการตกต่ำลงของตัวชี้วัดทางการคลังได้อีกต่อไป


Moody's ตำหนิรัฐบาลชุดต่างๆที่ผ่านมาและรัฐสภาว่าเป็นต้นเหตุ

ของการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง Moody's ระบุว่าไม่มีทีท่าว่าจะลดลง 


ทั้งนี้การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯนั้นอยู่ที่เกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี 

หรือมากกว่า 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 

และศรษฐกิจของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ก็กำลังอ่อนแอลง

เนื่องมาจากสงครามภาษีศุลกากรทั่วโลก และจะส่งผลทำให้การขาดดุลเพิ่มขึ้นไปอีก 

เนื่องจากการใช้จ่ายของรัฐบาลมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว

แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ระดับหนี้โดยรวมของสหรัฐฯ 

สูงเกินขนาดเศรษฐกิจของประเทศตัวเองไปแล้วอันเนื่องมาจากการกู้ยืมที่พุ่งขึ้น

นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด

 อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ยังผลักดันให้ต้นทุนในการชำระหนี้ของรัฐบาลสูงขึ้นด้วย


ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ 

ได้กล่าวกับสมาชิกรัฐสภาว่าสหรัฐฯ ตอนนี้อยู่ในวิถีที่ไม่สามารถยั่งยืนได้ 

โดยเขาระบุว่าตัวเลขหนี้นั้นน่ากลัวจริงๆ และวิกฤตจะส่งผลให้

 เศรษฐกิจหยุดชะงักกะทันหันเนื่องจากสินเชื่อจะหายไป

และเขามุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น 


Moody's ยังระบุว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น

เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ 

โดยอัตราผลตอบแทนระหว่าง 4% ถึง 5% นั้น

ถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับระดับที่เคยมีก่อนปี 2007 และวิกฤตการณ์ทางการเงิน


อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา 

สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายลดภาษีในประเทศครั้งใหญ่

ที่เสนอโดยประธานาธิบดีทรัมป์ โดยกฎหมายฉบับนี้ จะส่งต่อไปสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป 

และทีสำคัญ คือ ร่างกฎหมายที่ว่านี้ 

อาจทำให้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นไปอีก  5 ล้านล้านดอลลาร์ 

รวมไปถึงการขาดดุลงบประมาณที่จะขยายออกไปอีกด้วย 


อ้างอิงจากรายงานของอัลจาซีรา ระบุว่าสหรัฐฯ กำลังเป็นประเทศที่มีมีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก 

และกำลังเผชิญความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว

"หนี้สหรัฐฯ" คือ อะไร?


หนี้สิน หมายถึง จำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหนี้ต่อเจ้าหนี้ 

ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่า 36.2 ล้านล้านดอลลาร์ 

หนี้สินดังกล่าวคิดเป็น122 % ของจีดีพี หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) 

และกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ทุกสามเดือน

อัตราหนี้สินต่อ GDP สูงสุดเกิดขึ้นในช่วงการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ในปี 2020 

ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวพุ่งสูงถึง 133  % 

และสหรัฐอเมริกาอยู่ใน 10 ประเทศแรกในโลกที่มีอัตราหนี้สินต่อ GDP สูงสุด


เพดานหนี้ คืออะไร และทำไมจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ?

เมื่อรัฐบาลใช้จ่ายเงินมากกว่าที่จัดเก็บได้ ก็จะทำให้เกิดการขาดดุล

เพื่อชดเชยการขาดดุลนี้ รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่ม 

แต่เพื่อให้แน่ใจว่าการกู้ยืมจะต้องได้รับการอนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติ 

รัฐสภาสหรัฐฯ จึงกำหนดขีดจำกัดว่ารัฐบาลสามารถกู้ยืมเงินได้เท่าใดเพื่อใช้ในภาระผูกพันที่มีอยู่ 

เช่น ประกันสังคม การดูแลสุขภาพ และการป้องกันประเทศ ขีดจำกัดนี้เรียกว่าเพดานหนี้


เมื่อถึงเพดานหนี้แล้ว รัฐบาลจะไม่สามารถกู้เงินเพิ่มได้ 

เว้นแต่รัฐสภาจะปรับขึ้นหรือระงับเพดานหนี้ 

โดยตั้งแต่ปี 1960 รัฐสภาได้ปรับขึ้น ระงับ หรือเปลี่ยนแปลง

เงื่อนไขเพดานหนี้แล้ว 78 ครั้ง ทำให้สหรัฐฯ สามารถกู้เงินเพิ่มได้


รํฐบาลแต่ละยุคสร้างหนี้มากน้อยแค่ไหน?   

การขาดดุลของรัฐบาลกลาง คือ จำนวนเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายได้

ที่รัฐบาลนำเข้ามาในแต่ละปี 

หากรัฐบาลมีเงินเกินดุล แสดงว่าสหรัฐฯ มีรายได้เข้ามามากกว่ารายจ่าย


การขาดดุลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีวาระแรกของทรัมป์ 

หรือทรัมป์ 1.0 โดยเฉพาะในปี 2020 ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 

รัฐบาลมีการใช้จ่ายอย่างหนักใน

สวนทางกับรายได้จากภาษีลดลง 

เนื่องจากชาวอเมริกันตกงาน ไร้งานทำจำนวนมาก 

โดยในปีนั้น การขาดดุลสูงถึงเกือบ 15% ของจีดีพี 


ดังนั้นเมื่อสหรัฐฯไม่มีเงิน ก็ต้องการกู้ยืมเงิน 

รัฐบาลก็จะหันไปพึ่งกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานการเงินของรัฐบาลกลาง

และเพื่อกู้ยืมเงิน กระทรวงการคลังจะขายตราสารหนี้หลายประเภท 

เช่น ตั๋วเงินคลัง ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรกระทรวงการคลังให้กับผู้ลงทุน


หลักทรัพย์เหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นเงินกู้ที่นักลงทุนให้รัฐบาลสหรัฐฯ

 โดยมีคำมั่นสัญญาที่จะชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย

พันธบัตรสหรัฐฯ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมานานแล้ว 

เนื่องจากความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะไม่ชำระเงินคืนแก่ผู้ลงทุนนั้นต่ำมาก

หลักทรัพย์หนี้ประเภทต่างๆ จะครบกำหนดในเวลาที่แตกต่างกัน 

ซึ่งก็คือเวลาที่หนี้จะได้รับการชำระคืนให้กับนักลงทุน

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง