วิกฤตหนี้สหรัฐฯ "36 ล้านล้านเหรียญ" ที่ "ทรัมป์" ต้องแบกหลังแอ่น

สหรัฐฯ มีหนี้ 36 ล้านล้านดอลลาร์
เป็นหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก หมายความว่าอย่างไร
แล้วทำไมถึงเป็นหนี้ได้
หนี้ท่วมประเทศ 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เกินกว่าจีดีพีของสหรัฐอเมริกาถึงกว่า 120% หรือใหญ่กว่าเศรษฐกิจของประเทศตัวเอง
เวลานี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ก็กำลังแบกหนี้ที่ว่านี้ไว้จนหลังแอ่น และเป็นเหตุผลสำคัญที่สหรัฐฯ โดนลดชั้นหั่นอันดับเครดิต หรือถูกลดความน่าเชื่อถือลง
Moody's Ratings ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ เมื่อวันที่16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
โดยมูดี้ส์ Moody's ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ
จากระดับทริปเปิลเอ Aaa หล่นลงมาอยู่ที่ Aa1
ซึ่งถือเป็นการปรับระดับความน่าเชื่อถือลงมาจากระดับสูงสุดในกลุ่มทริปเปิลเอ AAA
เช่นเดียวกับอีกสองค่าย คือ Fitch Ratings และ S&P Global Ratings
ที่พากันปรับลดอันดับเครดิตสหรัฐฯไปแล้วก่อนหน้านี้
โดยในเดือนสิงหาคม ปี 2023 บริษัท Fitch Ratings
ได้ลดระดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯ ลงหนึ่งระดับเป็น AA+
อ้างถึงความกังวลเกี่ยวกับความขัดแย้งทางการเมืองเกี่ยวกับเพดานหนี้
ที่ทำให้ประเทศเกือบจะต้องผิดนัดชำระหนี้
ขณะที่ บริษัท S&P Global Ratings เป็นสถาบันจัดอันดับเครดิตรายใหญ่แห่งแรก
ที่ลดระดับความน่าเชื่อถือจากระดับทริปเปิล AAA ของสหรัฐฯ ลงในปี 2011
และถูกกระทรวงการคลังวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงในขณะนั้น
บลูมเบิร์ก รายงานว่าการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือดังกล่าวครั้งนี้ของมูดี้ส์เกิดขึ้น
หลังจากที่ Moody's ได้เปลี่ยนมุมมองต่ออันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯเป็นลบกว่าหนึ่งปี
โดยปัจจุบัน Moody's ให้แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ
Moody's ระบุในแถลงการณ์ว่า
แม้ว่าเราจะรับรู้ถึงจุดแข็งทางเศรษฐกิจและการเงินที่สำคัญของสหรัฐฯ
แต่เราเชื่อว่าจุดแข็งเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยการตกต่ำลงของตัวชี้วัดทางการคลังได้อีกต่อไป
Moody's ตำหนิรัฐบาลชุดต่างๆที่ผ่านมาและรัฐสภาว่าเป็นต้นเหตุ
ของการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง Moody's ระบุว่าไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
ทั้งนี้การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลสหรัฐฯนั้นอยู่ที่เกือบ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี
หรือมากกว่า 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
และศรษฐกิจของมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ก็กำลังอ่อนแอลง
เนื่องมาจากสงครามภาษีศุลกากรทั่วโลก และจะส่งผลทำให้การขาดดุลเพิ่มขึ้นไปอีก
เนื่องจากการใช้จ่ายของรัฐบาลมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว
แนวโน้มดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่ระดับหนี้โดยรวมของสหรัฐฯ
สูงเกินขนาดเศรษฐกิจของประเทศตัวเองไปแล้วอันเนื่องมาจากการกู้ยืมที่พุ่งขึ้น
นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ยังผลักดันให้ต้นทุนในการชำระหนี้ของรัฐบาลสูงขึ้นด้วย
ก่อนหน้านี้ในเดือนพฤษภาคม สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ
ได้กล่าวกับสมาชิกรัฐสภาว่าสหรัฐฯ ตอนนี้อยู่ในวิถีที่ไม่สามารถยั่งยืนได้
โดยเขาระบุว่าตัวเลขหนี้นั้นน่ากลัวจริงๆ และวิกฤตจะส่งผลให้
เศรษฐกิจหยุดชะงักกะทันหันเนื่องจากสินเชื่อจะหายไป
และเขามุ่งมั่นที่จะป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น
Moody's ยังระบุว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้น
เป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนทางการคลังของสหรัฐฯ
โดยอัตราผลตอบแทนระหว่าง 4% ถึง 5% นั้น
ถือเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับระดับที่เคยมีก่อนปี 2007 และวิกฤตการณ์ทางการเงิน
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวสำคัญ คือ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ได้ลงมติผ่านร่างกฎหมายลดภาษีในประเทศครั้งใหญ่
ที่เสนอโดยประธานาธิบดีทรัมป์ โดยกฎหมายฉบับนี้ จะส่งต่อไปสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป
และทีสำคัญ คือ ร่างกฎหมายที่ว่านี้
อาจทำให้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐเพิ่มสูงขึ้นไปอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์
รวมไปถึงการขาดดุลงบประมาณที่จะขยายออกไปอีกด้วย
อ้างอิงจากรายงานของอัลจาซีรา ระบุว่าสหรัฐฯ กำลังเป็นประเทศที่มีมีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก
และกำลังเผชิญความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเงินในระยะยาว
"หนี้สหรัฐฯ" คือ อะไร?
หนี้สิน หมายถึง จำนวนเงินทั้งหมดที่รัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหนี้ต่อเจ้าหนี้
ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่า 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
หนี้สินดังกล่าวคิดเป็น122 % ของจีดีพี หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)
และกำลังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ทุกสามเดือน
อัตราหนี้สินต่อ GDP สูงสุดเกิดขึ้นในช่วงการระบาดครั้งใหญ่ของโควิด-19 ในปี 2020
ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าวพุ่งสูงถึง 133 %
และสหรัฐอเมริกาอยู่ใน 10 ประเทศแรกในโลกที่มีอัตราหนี้สินต่อ GDP สูงสุด
เพดานหนี้ คืออะไร และทำไมจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ?
เมื่อรัฐบาลใช้จ่ายเงินมากกว่าที่จัดเก็บได้ ก็จะทำให้เกิดการขาดดุล
เพื่อชดเชยการขาดดุลนี้ รัฐบาลต้องกู้เงินเพิ่ม
แต่เพื่อให้แน่ใจว่าการกู้ยืมจะต้องได้รับการอนุมัติจากฝ่ายนิติบัญญัติ
รัฐสภาสหรัฐฯ จึงกำหนดขีดจำกัดว่ารัฐบาลสามารถกู้ยืมเงินได้เท่าใดเพื่อใช้ในภาระผูกพันที่มีอยู่
เช่น ประกันสังคม การดูแลสุขภาพ และการป้องกันประเทศ ขีดจำกัดนี้เรียกว่าเพดานหนี้
เมื่อถึงเพดานหนี้แล้ว รัฐบาลจะไม่สามารถกู้เงินเพิ่มได้
เว้นแต่รัฐสภาจะปรับขึ้นหรือระงับเพดานหนี้
โดยตั้งแต่ปี 1960 รัฐสภาได้ปรับขึ้น ระงับ หรือเปลี่ยนแปลง
เงื่อนไขเพดานหนี้แล้ว 78 ครั้ง ทำให้สหรัฐฯ สามารถกู้เงินเพิ่มได้
รํฐบาลแต่ละยุคสร้างหนี้มากน้อยแค่ไหน?
การขาดดุลของรัฐบาลกลาง คือ จำนวนเงินที่รัฐบาลใช้จ่ายมากกว่ารายได้
ที่รัฐบาลนำเข้ามาในแต่ละปี
หากรัฐบาลมีเงินเกินดุล แสดงว่าสหรัฐฯ มีรายได้เข้ามามากกว่ารายจ่าย
การขาดดุลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีวาระแรกของทรัมป์
หรือทรัมป์ 1.0 โดยเฉพาะในปี 2020 ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19
รัฐบาลมีการใช้จ่ายอย่างหนักใน
สวนทางกับรายได้จากภาษีลดลง
เนื่องจากชาวอเมริกันตกงาน ไร้งานทำจำนวนมาก
โดยในปีนั้น การขาดดุลสูงถึงเกือบ 15% ของจีดีพี
ดังนั้นเมื่อสหรัฐฯไม่มีเงิน ก็ต้องการกู้ยืมเงิน
รัฐบาลก็จะหันไปพึ่งกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นหน่วยงานการเงินของรัฐบาลกลาง
และเพื่อกู้ยืมเงิน กระทรวงการคลังจะขายตราสารหนี้หลายประเภท
เช่น ตั๋วเงินคลัง ตั๋วเงินคลัง และพันธบัตรกระทรวงการคลังให้กับผู้ลงทุน
หลักทรัพย์เหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นเงินกู้ที่นักลงทุนให้รัฐบาลสหรัฐฯ
โดยมีคำมั่นสัญญาที่จะชำระคืนพร้อมดอกเบี้ย
พันธบัตรสหรัฐฯ ถือเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยมานานแล้ว
เนื่องจากความเสี่ยงที่สหรัฐฯ จะไม่ชำระเงินคืนแก่ผู้ลงทุนนั้นต่ำมาก
หลักทรัพย์หนี้ประเภทต่างๆ จะครบกำหนดในเวลาที่แตกต่างกัน
ซึ่งก็คือเวลาที่หนี้จะได้รับการชำระคืนให้กับนักลงทุน