อีสท์สปริงเป้าAUMโตกว่าตลาด ชูพอร์ตสำเร็จรูปขยายฐานลูกค้า
#บลจ.อีสท์สปริง #ทันหุ้น- บลจ.อีสท์สปริง เปิดกลยุทธ์เติบโตต่อเนื่องหลังผลงานปี 2567 เติบโตกว่าภาคอุตสาหกรรม ในทุกๆ ธุรกิจกองทุนรวม และปี 2568เป้าหมายเติบโตต่อเนื่องสูงกว่าอุตสาหกรรมเช่นกัน ขยายตลาดจากเทอมฟันด์ สู่การแนะนำพอร์ตลงทุนที่ช่วยลูกค้าวางแผนกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ กับผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป จัดพอร์ตหลัก (Core Port) และ พอร์ตรอง (Satellite port)ให้พร้อม เปิดโอกาสรับผลตอบแทน ภายใต้ความผันผวนสูงในปัจจุบัน และจากนโยบายทรัมป์
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด หรือ บลจ.อีสท์สปริง เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินงานในปี 2565 ว่า ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบสนองความต้องการนักลงทุนทุกกลุ่มในสถานการณ์ที่ทั่วโลกยังเผชิญความผันผวน ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจและสงครามการค้าจากนโยบายการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกา โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งสิ่งสำคัญคือการติดตามข้อมูลข่าวสารและให้คำแนะนำอย่างรวดเร็วแม่นยำ
โดยบลจ.อีสท์สปริง ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาเพื่อให้นักลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุนเพื่อเป้าหมายในการประสบความสำเร็จจากการวางแผนทางการเงินผ่านกองทุนรวมในระยะยาว
*เป้าหมายโตต่อ
ในส่วนของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ในปีที่ผ่านมา เราสามารถเติบโตได้ดีกว่าภาคอุตสาหกรรมกองทุน และในปีนี้เราก็มุ่งหวังที่จะให้ AUM เติบโตกว่าภาคอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุนได้มากขึ้นผ่านเทคโนโลยี ที่ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ที่มีเครือข่ายทั่วโลก และผลิตภัณฑ์กองทุนรวม ซึ่งจะเน้นขยายฐานตลาดมากกว่ากองเทอมฟันด์ แต่จะเน้นกองทุนที่สามารถช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับผู้ลงทุน”
นางสาวดารบุษป์ กล่าวว่า นอกจากกองฟันด์ที่ลงทุนในตราสารหนี้แล้ว อีสท์สปริงก็อยากให้ลูกค้าหรือนักลงทุนได้กระจายความเสี่ยงผ่านการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ในหลายๆ ภูมิภาค ทั้งในตลาดเกิดใหม่ (EM) รวมถึงตลาดที่พัฒนาแล้ว (DM) เพื่อเปิดรับกับโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่แตะสินทรัพย์ แต่ละภูมิภาคเติบโตต่างกัน และยังเป็นการบริหารความเสี่ยงไม่ให้พอร์ตลงทุนผันผวนเกินไป ผ่านการจัดเป็นพอร์ตหลัก (Core Port) และ พอร์ตรอง (Satellite port)
“ปีนี้เรายังเดินหน้าขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น โดยมีเป้าหมายคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มสนใจการลงทุนและวางแผนการเงินเอย่างมากมายพิ่มขึ้น นอกจากกลยุทธ์การให้ความรู้แก่นักลงทุนอย่างเข้มข้นแล้ว ยังมุ่งสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ พร้อมขยายช่องทางการจำหน่ายให้เข้าถึงกลุ่มนักลงทุนได้กว้างขึ้น ควบคู่กับการออกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับทุกสถานการณ์การลงทุน รวมทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปเพื่อตอบสนองนักลงทุนมือใหม่ที่ยังไม่มีความรู้และไม่มีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุน ทำให้สามารถเข้าถึงการลงทุนได้อย่างง่ายดาย สะดวก และรวดเร็ว พร้อมมีทางเลือกตามความเสี่ยงที่แต่ละคนรับได้”
*ปลื้มผลงานโตกว่าอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ด้วยการดำเนินงานเชิงรุก ในปีที่ผ่านมา บลจ.อีสท์สปริง ประสบความสำเร็จจากผลการดำเนินงานของกองทุนทุกประเภท โดยมีอัตราเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) รวม 14%ซึ่งถือเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2024 โดยแบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.93% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 10.16% และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล 7.31% สูงกว่าอุตสาหกรรมธุรกิจการจัดการกองทุน AUM รวมเติบโตเกือบ 10%แบ่งเป็น ธุรกิจกองทุนรวม เติบโต 14.10% ธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เติบโต 6.41 % และ ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลเติบโต 2.21% (ข้อมูล AIMC ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2567)
“ความสำเร็จในปีที่ผ่านมาเป็นผลมาจากการดำเนินงานเชิงรุก ทั้งการออกผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ การพัฒนานวัตกรรมการลงทุนที่สมบูรณ์แบบอย่าง Fund Link Application PVD Digital Platform ที่ประกอบด้วย Eastspring M Choice PVD Mobile Application สำหรับสมาชิก, Eastspring PVD Employer Online สำหรับผู้ประสานงานสำหรับฝั่งนายจ้าง และ Eastspring PVD Fund Committee Mobile Application สำหรับคณะกรรมการกองทุน ที่ออกแบบมา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพจนเป็นที่ยอมรับ”
ในปีนี้ บลจ.อีสท์สปริงมองเห็นโอกาสการลงทุนในแต่ละภูมิภาค และแต่ละสินทรัพย์ที่มีความแตกต่างกัน การคัดเลือกกองทุนและจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์จะเป็นการเพิ่มโอกาสการลงทุน ซึ่งปัจจุบันบลจ.อีสท์สปริงมีกองทุนหลากหลายกองทุนภายใต้การบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนมืออาชีพด้วยความเชี่ยวชาญ ที่จะช่วยให้นักลงทุนก้าวข้ามขีดจำกัดและไม่พลาดโอกาสครั้งสำคัญ
นายยิ่งยง เจียรวุฑฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง กล่าวเสริมถึงมุมมองการลงทุนในปีนี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกจะอยู่ในระดับปานกลางในช่วงครึ่งปีแรก 2568 โดยภาวะเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาและจีนจะเป็นตัวแปรของการเติบโตในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมองว่าจากนโยบายรัฐบาลสหรัฐชุดใหม่จะสนับสนุนการเติบโตระยะสั้นและสนับสนุนแนวโน้มดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าในระยะกลาง รวมทั้งจะทำให้เกิดเงินเฟ้อมากขึ้นและอาจทำให้รอบการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดช้าลง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมของเฟดอาจจะสูงขึ้น พันธบัตรอาจถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น และควรเน้นไปยังตราสารหนี้คุณภาพ
*จับตาผลกระทบจากทรัมป์
ทั้งนี้ ผลกระทบจากนโยบายของทรัมป์ยังคงยากที่จะคาดเดาและหลายประเด็นอาจไม่ได้นำไปปฏิบัติทั้งหมด ความล่าช้าของนโยบายและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเงินเฟ้อและแนวโน้มของทิศทางดอกเบี้ยจะนำไปสู่ความผันผวนของตลาดที่สูงขึ้น ขณะที่ในเอเชียและตลาดเกิดใหม่มีความดึงดูดในแง่ของการขยายตัวทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับตลาดพัฒนาแล้ว และปัจจัยขับเคลื่อนในระยะยาวยังคงอยู่ เช่น การใช้จ่ายเงินทุนที่เพิ่มขึ้น การลดการปล่อยคาร์บอน และการกระจายความเสี่ยงของห่วงโซ่อุปทานน่าจะช่วยยกระดับรายได้ของบริษัทจดทะเบียน