กรมที่ดิน เพิกถอนโฉนดเกาะนุ้ยนอกแล้ว เตรียมดำเนินคดี
กรณีกลุ่มอนุรักษ์ป่าชายเลน บ้านเจ๊ะหลี ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ร้องเรียนให้ตรวจสอบการออกโฉนดบน “เกาะนุ้ยนอก” 5 ไร่ เมื่อเดือนธันวาคม ปีที่ผ่านมา โดยศูนย์เดินสำรวจเพื่อออกโฉนดที่ดิน เนื่องจากเชื่อว่าน่าจะมิชอบ เพราะพื้นที่เกาะดังกล่าว เป็นพื้นที่ชาวบ้านใช้ร่วมกันมานานหลายชั่วอายุคน ไม่เคยมีใครเข้าไปครอบครองทำประโยชน์มาก่อน จนนำมาซึ่งการตรวจสอบของหลายหน่วยงาน พบว่ามีการนำเอาเอกสาร ส.ค.1 มาจากแปลงอื่น ลงนามโดย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดิน จ.กระบี่ สุราษฎร์ธานี พังงา ออกเป็นโฉนดให้ชาวบ้านรายหนึ่ง ก่อนเกษียณอายุราชการ 2 วัน ต่อมามีการโอนขายให้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอกรมที่ดิน จึงนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่คณะกรรมการของกรมที่ดิน เพื่อพิจารณาเพิกถอนโฉนด ภายใน 60 วัน
ล่าสุดวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 65 มีรายงาน ว่า นางสมบัติ จันทรลาวัณย์ รองอธิบดีกรมที่ดิน รักษาการอธิบดีกรมที่ดิน ลงนามเพิกถอน โฉนด ที่ดินเกาะนุ้ยนอก เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมาแล้ว
ขณะที่ พ.ต.อ.สมศักดิ์ เนียมเล็ก ผู้กำกับการ กองกำกับการ 5 กองบังคับการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ตำรวจสอบสวนกลาง ให้ข้อมูลว่าจากการลงพื้นที่ตรวจสอบ พบว่าการออกโฉนดที่ดินบนเกาะนุ้ยนอก เป็นการออกโดยเอกสารการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 21 ที่ดินตั้งอยู่ที่เขตพื้นที่ เกาะปอ หมู่ 4 ต.เกาะลันตาใหญ่ อ.เกาะลันตา จ.กระบี่ ผู้ครอบครองเดิมทำประโยชน์เป็นสวนมะพร้าว ที่ดินข้างเคียงเป็นสวนมะพร้าวและสวนผลไม้ ได้มีการยื่นขอออกหลักฐานครอบครองที่ดินไปก่อนหน้านี้แล้ว
ที่ผ่านมา พื้นที่เกาะนุ้ยนอกไม่พบร่องรอยหรือปรากฏหลักฐานใดยืนยันว่ามีการทำประโยชน์ หรือเคยมีผู้ใดครอบครองทำประโยชน์มาก่อน ซึ่งข้อมูลจากการลงพื้นที่ตรวจสอบไม่สอดคล้องตามเอกสารการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 21 แต่อย่างใด คณะเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจสอบได้ร่วมกันพิจารณาแล้วลงความเห็นว่า ในการออกโฉนดที่ดินบนเกาะนุ้ยนอก เชื่อว่าเป็นการดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และได้ทำการสอบสวน สอบปากคำบุคคลผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ของการออกโฉนดพื้นที่เกาะนุ้ยนอก เจ้าที่รัฐ กรมที่ดิน เจ้าหน้าที่เจ้าท่า ผู้นำชี้แนวเขต ผู้นำชุมชน เจ้าของเอกสาร สค.1 ที่ใช้เป็นหลักฐานขอออกโฉนด เจ้าของที่ดินข้างเคียง ที่ลงชื่อรับรองแนวเขต และชาวบ้านในพื้นที่ รวม 13 ราย พร้อมรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ส่งให้คณะกรรมการป้องกันปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.แล้ว เมื่อกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมาแล้ว เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย