จับตาหุ้นไทยส่งท้ายปี! ลุ้น "ซานต้าแรลลี่" ได้หรือไม่?

ตลาดหุ้นไทยช่วงต้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาดีดปรับตัวขึ้นสวนทางภาพรวมตลาดหุ้นภูมิภาคที่ปรับตัวลง เป็นผลมาจากความชัดเจนเกี่ยวกับประเด็นการเมืองในประเทศ หลังจากสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) กำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 8 ก.พ. 69 ส่งผลให้เกิดแรงซื้อหุ้นทุกกลุ่ม นำโดย เทคโนโลยีและพลังงาน
แต่หลังจากนั้นหุ้นไทยย่อตัวลงในเวลาต่อมาท่ามกลางแรงขายจากกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศ โดยเฉพาะ DELTA ตามการปรับตัวลงของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ประกอบกับขาดปัจจัยใหม่ ๆ เข้ามาหนุนตลาด แม้ว่าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน( กนง.) มีมติเอกฉันท์ลดดอกเบี้ยลง 0.25% มาอยู่ที่ 1.25% แต่ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2569-2570 มีแนวโน้มชะลอตัวทำให้มีแรงขายหุ้นในหลายกลุ่ม
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้าจะเป็นอย่างไร ก่อนส่งท้ายปี 68 มีโอกาสเกิด Santa Claus Rally หรือไม่ หุ้นตัวไหนเด่นที่ยังน่าลงทุน และมีปัจจัยบวกลบอะไรที่จะต้องติดตามกันบ้าง ในวันนี้ TNN Online พาไปไขคำตอบจากกูรูตลาดทุนกันค่ะ
เริ่มจาก “ภราดร เตียรณปราโมทย์" ผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซียพลัส ฉายภาพว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาช่วงโค้งสุดท้ายของปีจะเกิดแซนต้าแรลลี่ ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นประมาณ 2-3 % แต่ในปีที่ 67 ที่ผ่านมากลับติดลบ 2% เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้นโยบายการเงินแบบ Hawkish จากเดิมที่ ตลาดคาดหวังว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 6 ครั้ง แต่เปลี่ยนมุมมองลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ส่งผลหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง 3% หุ้นไทยลดลง 2% นอกจากนี้ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ครบกำหนดอายุไถ่ถอนทำให้เกิดความผิดปกติต่อดัชนีหุ้นไทย แต่ส่งท้ายปีนี้คาดว่ามีโอกาสเกิดแซนต้าแรลลี่
สำหรับตลาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้า ค่อนข้างเงียบเหงา ประเมินกรอบแนวรับแรกที่ 1,250 จุด แนวรับถัดไปที่ 1,230 จุด แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,280 จุด เนื่องจากไปสู่เทศกาลคริสต์มาส คาดว่ามูลค่าการซื้อขายจะต่ำสุดของปีเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 กว่าล้านบาท ต่อวัน โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือตัวเลข GDP ของสหรัฐในไตรมาส 3 คาดว่าจะเติบโต 3.2%qoq ชะลอลงจากช่วงเดียวกันของไตรมาส 2 รวมถึงตัวเลขส่งออกของไทยเติบโต 7.9%yoy จากเดิมบวก 5.7%yoy นำเข้าโต 14.1%yoy จากเดิมอยู่ที่ 16.3% yoy
นอกจากนี้ไทยเตรียมเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง โดยพรรคการเมืองจะเริ่มเข้าสู่การดีเบต ซึ่งจะเห็นภาพนโยบายด้านเศรษฐกิจ และสังคมของแต่ละพรรคชัดเจนขึ้น ถือเป็น sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย แต่หลังจากการเลือกตั้งแล้วเสร็จต้องดูว่าพรรคการเมืองที่มีคะแนนนำจะมีเสถียรภาพหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นพรรคใหญ่พรรคเดียวการจัดตั้งรัฐบาลได้ก็จะส่งผลดีต่อนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การลงทุน และการบริหารประเทศ แต่ถ้าหลายพรรครวมกันจัดตั้งรัฐบาลเหมือนที่ผ่านมาก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาทางด้านนโยบายบ้าง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนหุ้นที่รับผลบวกจากกระแสการเลือกตั้ง การดีเบต และคาดหวังนโยบายประชานิยมรากหญ้า เช่น หุ้น PLANB ราคาเป้าหมาย 8 บาท และหุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง เช่น TIDLOR ราคาเป้าหมาย 24 บาท
ส่วนสถานการณ์กัมพูชาเริ่มที่จะผ่อนคลายหลังจากจีนเป็นกาวใจ โดยนายหวัง อี้ โทรศัพท์คุยกับ รมว.ต่างประเทศของไทยและกัมพูชาในการเจรจา เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายหยุดยิงว่าจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าสถานการณ์คลี่คลายจะส่งผลดีต่อหุ้นท่องเที่ยว นอกจากนี้ไทยและจีนมีความร่วมมือส่งเสริมการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีต่อเนื่องไปถึงปีหน้าหุ้นเด่นที่น่าลงทุน เช่น หุ้น ERW ราคาเป้าหมาย 2.9 บาทและหุ้นปันผลสูงแนะนำหุ้น SCB คาดว่าครึ่งปีหลังปันผลมากกว่า 6.2% ราคาเป้าหมาย 140 บาท
โดยหุ้นไทยคาดว่ายังน่าสนใจที่จะลงทุนหากเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านโดยให้เงินปันผลสูงเฉลี่ยประมาณ 4.3% เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งหากเทียบตลาดหุ้นสหรัฐให้ผลตอบแทน 1.2% ตลาดหุ้นญี่ปุ่น 1.7 % ตลาดเกิดใหม่ 2.8% ยุโรป 3.3%
ขณะเดียวกัน P/E ถ้าไม่รวมหุ้น DELTA ยังถูกอยู่ที่ 13 เท่า Market Earning Yield Gap หรือ ส่วนต่างผลตอบแทนหุ้นไทยและตราสารหนี้ไทยตอนนี้สูงถึง 5% และ Dividend Yield Gap 3% ซึ่งเป็นระดับที่ ฟันด์โฟลว์ มักจะไหลเข้าเสมอ เช่นเดียวกับปี 2016 และ 2022
ส่วนเม็ดเงินลงทุนหรือฟันด์โฟลว์ของไทยเทียบเพื่อนบ้านตั้งแต่วันที่ 1-19 ธ.ค. ที่ผ่านมา พบว่า อินโดนีเซียซื้อสุทธิ 270 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นบวก 1.2% เกาหลีใต้ซื้อสุทธิ 213 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นบวก 2.4% ไทยซื้อสุทธิ 143 ล้านเหรียญ หุ้นลง 0.2% แต่ถ้าหักหุ้น DELTA SET บวก 2.1% ขณะที่ไต้หวันถูกขายสุทธิ 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นทรงตัว 0.2% อินเดียถูกขายสุทธิ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นร่วง 1% ฟิลิปปินส์ถูกขายสุทธิ 190 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นลง 1.7% และเวียดนามถูกขายสุทธิ 63 ล้านเหรียญสหรัฐ หุ้นลง 0.3%
ฝั่ง “ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์” CFTe,CISA ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย และนักกลยุทธ์การลงทุน บล. กรุงศรี มองว่า หุ้นไทยส่งท้ายปี คาดหวังโอกาสเกิด Santa Claus Rally คล้ายในอดีต 5 ปีย้อนหลัง โดยหุ้นไทยปรับขึ้น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย +1.5% ส่วน Window Dressing คาดหวังเกิดแต่ ไม่คาดหวังมาก
สำหรับการจัดทัพรับเลือกตั้งของพรรคการเมืองนั้น ประเด็นที่ต้องตามรายละเอียด และนโยบายหาเสียงของแต่ละพรรค ประเมินไม่ว่าพรรคไหนจะขึ้นมาเป็นแกนนำ มองนโยบายที่พรรคผลักดันออกมาในทิศทางเดียวกันคือ กระตุ้นการบริโภค ลดรายจ่ายประชาชน มองบวกต่อหุ้นกลุ่มอิงบริโภคในประเทศ อาทิ กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มการเงิน แต่ถ้าสถานการณ์เลือกตั้งล่าช้าจากเดิมที่กำหนดไว้ 8 ก.พ.69 คาดว่า จะมีผลต่อการเบิกจ่าบงบประมาณปี 2026 และกระทบต่อ ความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนหุ้นไทยหลังเลือกตั้ง KSS ประเมิน SET Index มีโอกาสปรับขึ้นคาดหวังการเกิด Election Rally รอบนี้ได้ราว 3-5% ในช่วงก่อน–หลังเลือกตั้งช่วง 5-8 เดือนข้างหน้า เราประเมินเหตุผลหลักของการ Rally คือ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและไทย ที่เลือกลงทุนหุ้นขนาดใหญ่นำดัชนี และความคาดหวังบวกในระบบตัวแทน ซึ่งจะช่วยให้เกิดการกระจายตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกว่าเดิม ผสานกิจกรรมก่อนการเลือกตั้งที่หนุนเศรษฐกิจไหลเวียน
สำหรับทิศทางตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า คาดตลาด “ฟื้นตัว” หลังหุ้น DELTA ที่กดดันตลาดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมองว่าความผันผวนจะลดลง หลังจากน้ำหนัก DELTA ใน SET50 (ตามเกณฑ์ตลาด) ล่าสุดอยู่ที่ 10.6% ใกล้กับระดับ Capped Weight ที่ตลาดฯ กำหนดหุ้นแต่ละตัวไม่ให้เกิน 10% แล้ว ตลาดน่าจะเริ่มมองปัจจัยเร่งปี 69 การเลือกตั้งใหญ่
ส่วนเงินบาทแข็งค่าโซนมากสุดในรอบเกือบ 5 ปีบ่งชี้จิตวิทยาทางบวก หุ้นเด่นจับตา 1. หุ้น Big Cap เป้า Fund Flows อาทิ ธนาคาร สื่อสาร 2. หุ้นอิงภาคบริการ คาดนักท่องเที่ยวจีนนำภาพรวมเร่งขึ้น ตามยอดชี้นำเที่ยวบินจีนเข้าไทยที่เร่งขึ้น หลังมีความขัดแย้งญี่ปุ่น-จีน ผสาน โค้งสุดท้ายเห็นภาพเร่งขึ้นก่อนเทศกาลปีใหม่ อาทิ โรงแรม การบิน ร.พ. ค้าปลีก และ 3. หุ้น Dividend Play อย่างไรก็ตาม ทิศทางดอกเบี้ยขาลงหุ้นแบงก์ยังน่าสนใจลงทุน จากภาพความคาดหวัง Flow ไหลเข้า และเป็นหุ้นกลุ่มที่จ่ายปันผลสูง Top pick เลือก SCB , KBANK
ปัจจัยบวกลบที่ต้องติดตาม
- 20 ธ.ค. ธนาคารกลางจีนหรือ PBOC ประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดีอายุ 1 ปี และ 5 ปี คาดคงที่ระดับ 3.0% และ 3.5% ตามลำดับ
- 23 ธ.ค. ติดตาม GDP ของสหรัฐฯ (Annualized QoQ) 3Q คาด 3.10%, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค Conference Board ธ.ค. คาดว่าอยู่ที่ 91.4 จุด จากเดิมอยู่ที่ 88.7 จุด ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ต.ค. (Prelim.) ติดลบ 1.40% m-m จากเดิม +0.50% ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) พ.ย. คาด +0.10% m-m
- 25 ธ.ค. ติดตาม ยอดส่งออกศุลกากรไทย (Customs Exports) พ.ย. คาด +8.80%y-y จากเดิมอยู่ที่ 5.70%y-y
- 26 ธ.ค. ติดตามผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่น (Industrial Production) พ.ย. คาดติดลบ 0.021%m-m vs prev. +1.50%, อัตราว่างงาน (Jobless Rate) พ.ย. คาด 2.60% เท่า prev. 2.60%
แนะนำหุ้นเด่น
• ERW (TP26F-3.3): นักท่องเที่ยวจีน 14% ของลูกค้า ได้ประโยชน์สูงช่วงปลายปีจีนนำฟื้น
• CENTEL (TP26F-37.5): ลูกค้าจีน 6% ของลูกค้า + ทุกธุรกิจเป็นแรงส่งฟื้นปี 2026F
• BDMS (TP26F-29): ลูกค้าต่างชาติ 30% + สาขาครอบคลุมพื้นที่ท่องเที่ยวหลัก
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
