"ทรัมป์2.0" โอกาสทองไทยส่งออกท่อ"เหล็ก"

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยในงานสัมมนาแบบประชุมโต๊ะกลม Roundtable "Trump's Global Quake: Thailand Survival Strategy เสวนาหัวข้อ “The Geat Tread war” ว่า ทั่วโลกมีการความต้องการเหล็กประมาณ 1,800 ล้านตันต่อปี
โดยจีน มีความต้องการเหล็กครึ่งนึงของโลกประมาณ 900 ล้านตันต่อปี มีกำลังการผลิต 1,100 ล้านตันต่อปี ในปีที่ผ่านมาผลประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กในจีนไม่ค่อยดี 3 ไตรมาสแรกของผู้ประกอบการร้อยละ 70 ขาดทุน เป็นปัญหากำลังการผลิตส่วนเกินที่ล้นทำให้การส่งออกมีราคาต่ำ
ขณะที่สหรัฐมีความต้องการเหล็ก 100 ล้านตันต่อปี มีการนำเข้า 25 ล้านตันต่อปี ทำให้ธุรกิจเหล็กในสหรัฐมีกำไรได้ขึ้นลง ด้านของไทยความต้องการเหล็ก 16 ล้านตันต่อปี มีการผลิตเอง 7 ล้านตันนอกนั้นเป็นการนำเข้า มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ต่ำที่สุด
ล่าสุด ทรัมป์ 2.0 อะลูมิเนียม จากเดิมเก็บภาษีร้อยละ 10 ถูกปรับขึ้นเป็นร้อยละ 25 และคิดว่าสหรัฐน่าจะนำเข้าเหล็กในประเทศใกล้เคียง เช่น แคนาดา เม็กซิโก บราซิล ขณะที่จีนมีการส่งออกเหล็กไปสหรัฐเพียง 500,000 ตัน ด้านไทยส่งออกไปสหรัฐไม่เกิน 200,000 ตัน ดังนั้นผลกระทบโดนตรงอุตสาหกรรมเหล็กไม่น่าจะเยอะ
อย่างไรก็ตาม เรามองว่าเป็นโอกาส เพราะมีผู้นำเข้าบางประเทศของสหรัฐมีความระมัดระวัง เวลามีการแจ่งออเดอร์เขาจะระบุชัดเจนของให้เป็นวัตถุดิบประเทศไหนบ้าง ซึ่งเป็นประเทศที่ตั้งกำแพงภาษีเพราะกลัวเรื่องประเทศต้นทาง อุตสาหกรรมเหล็กที่มีการส่งออกไปสหรัฐจึงมีโอกาส โดยเฉพาะ ท่อเหล็ก
ขณะเดียวกันผลทางอ้อมในกลุ่มประเทศอาเซียนมีเหล็กที่ส่งออกไม่ได้ก็จะมีความกดดันในการระบายสินค้า ซึ่งอาเซียนเป็นตลาดที่จะระบายสินค้า ซึ่งทุกประเทศมีแนวโน้มตั้งการ์ดเรื่องอุตสาหกรรมเหล็กเพราะมีกำลังการผลิตที่เกินการใช้งานเพื่อให้ได้ต้นทุนต่ำ ปัจจุบันรัฐบาลก็เตรียมการไปเจรจา
ขณะที่เอกชนด้านผู้ประกอบการเตรียมตัวหาโอกาสที่จะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น แม้ค่าขนส่งแพงแต่ก็ยังพอมีรายได้