สหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรบริษัทน้ำมันรัสเซีย กดดันเร่งเจรจาข้อตกลงสันติภาพ

สหรัฐฯ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรชุดใหม่ที่มุ่งเป้าไปยัง 2 บริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย คือ รอสเนฟต์ (Rosneft) และ ลูคอยล์ (Lukoil) เพื่อกดดันให้รัสเซีย ยอมเจรจาทำข้อตกลงสันติภาพในยูเครนโดยเร็ว

ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ร่วมประชุมกับ มาร์ค รุตเต เลขาธิการองค์การนาโต เกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพ ทรัมป์กล่าวด้วยว่าทุกครั้งที่เขาคุยกับปูติน มันเป็นการพูดคุยที่ดีแต่สุดท้ายแล้วกลับไม่ไปถึงไหนและมันไม่ไปต่อเลยจริง ๆ ทรัมป์ยังได้วิจารณ์ปูตินว่าไม่ได้จริงใจในการทำสันติภาพและทรัมป์หวังว่ามาตรการคว่ำบาตรนี้จะช่วยผลักดันให้เกิดความคืบหน้าได้หากรัสเซียยอมยุติสงคราม ซึ่งรุตเตได้กล่าวชื่นชมการตัดสินใจของทรัมป์ โดยเรียกว่าเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อปูติน

การประกาศคว่ำบาตรครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 1 วันหลังจากที่ทรัมป์เปิดเผยว่า การประชุมร่วมระหว่างเขาและปูตินที่วางแผนจะจัดขึ้นที่กรุงบูดาเปสต์ของฮังการีนั้น ถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด ขณะที่ในวันเดียวกันรัสเซียได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศอย่างหนักใส่ยูเครน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 คน รวมถึงเด็กหลายคน

ด้าน สก็อต เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรใหม่นี้มีความจำเป็น เนื่องจาก ปูตินปฏิเสธที่จะยุติสงครามอันไร้เหตุผลนี้ พร้อมกล่าวว่าบริษัทน้ำมันเหล่านี้คือแหล่งเงินทุนของเครื่องจักรสงครามของรัสเซียและมันถึงเวลาที่จะต้องยุติการเข่นฆ่า และหยุดยิงโดยทันที 

เมื่อสัปดาห์ก่อน สหราชอาณาจักรได้ประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรลักษณะเดียวกันกับ Rosneft และ Lukoil เช่นกัน โดยราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลังอังกฤษ กล่าวว่าน้ำมันรัสเซียจะไม่มีที่ยืนในตลาดโลกอีกต่อไป ซึ่งในเวลาต่อมาสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำลอนดอนออกมาตอบโต้ว่า การคว่ำบาตรบริษัทพลังงานรายใหญ่ของรัสเซียจะทำให้ห่วงโซ่อุปทานพลังงานทั่วโลกหยุดชะงัก และส่งผลให้ราคาพลังงานพุ่งสูงขึ้นทั่วโลกพร้อมเตือนว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบในทางลบต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศกำลังพัฒนาและประเทศยากจนและยิ่งทำให้การเจรจาสันติภาพซับซ้อนกว่าเดิม

ทั้งนี้ 2 บริษัทน้ำมันของรัสเซียดังกล่าวส่งออกน้ำมันรวมกันวันละ 3.1 ล้านบาร์เรล โดย Rosneft ผลิตน้ำมันเกือบครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 6% ของการผลิตทั่วโลก ตามการประเมินของรัฐบาลอังกฤษ