"นิพิฏฐ์" ไขคดีรุกป่าราชบุรี ฟันธง "จึงรุ่งเรืองกิจ" ไม่ผิด ห่างไกลคดีอาญาเยอะมาก แนะเวลามองต้องถอดอคติ
นิพิฏฐ์ ยัน ตามหลักกฎหมาย ธนาธรไม่ผิดรุกป่าราชบุรี ชี้ ห่างไกลจากคดีอาญาเยอะมาก แนะเวลามอง ต้องถอดอคติการเมือง
เมื่อวันที่ 19 เมษายน นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ แกนนำพรรคสร้างอนาคตไทย อดีตส.ส.พัทลุงหลายสมัย เขียนข้อความทางเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นกรณี คดีความของครอบครัวนายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจเกี่ยวกับการบุกรุกป่าที่ราชบุรี
นายนิพิฏฐ์ระบุว่า คุณธนาธร คงถูกดำเนินคดีอยู่หลายคดี ผมไม่กล่าวถึงคดีอื่น แต่ขอกล่าวถึงคดีที่คุณธนาธรและครอบครัวถูกกล่าวหาว่า โกงชาติ โกงแผ่นดิน โกงป่า กรณีครอบครองที่ดินรัฐ ต่อมากรมที่ดินเพิกถอนการซื้อขายที่ดินนั้น
ผมทราบว่า คุณธนาธร และครอบครัวซื้อที่ดินนี้มาตั้งแต่ปี 2533 โดยมีการบันทึกไว้ว่า ที่ดินนี้ อาจจะอยู่ หรือ ไม่อยู่ในเขตป่า ก็ได้ แต่หากอยู่ในเขตป่าจะถูกเพิกถอนได้ในภายหลัง
ที่ดินที่มีการซื้อขายและต่อมาถูกเพิกถอนในภายหลังในแต่ละปีมีแบบนี้เยอะครับ การเพิกถอนแบบนี้ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง หรือ เป็นคดีแพ่ง เป็นคนละเรื่องกับการบุกรุกที่ดินที่เป็นคดีอาญา ผมทราบว่า ในกรณีของคุณธนาธร หน่วยงานที่รับผิดชอบมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา และอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการ
ผมสรุปอย่างนี้ครับ
1.การเพิกถอนเนื่องจากเป็นที่ป่า เรื่องนี้ตรวจสอบได้ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นวิทยาศาสตร์ หากอยู่ในที่ป่าก็เพิกถอนไป เรื่องก็จบ
2. ส่วนการบุกรุกที่เป็นคดีอาญา ยากครับที่คุณธนาธรและครอบครัวจะมีเจตนาบุกรุกที่จะ เป็นคดีอาญา เพราะขณะซื้อ เจ้าหน้าที่ที่จดทะเบียนโอนก็ไม่แน่ใจว่าอยู่ในที่ป่าหรือไม่ การจะผิดอาญา ต้องเป็นกรณีที่รู้โดยแน่ชัดขณะซื้อว่าเป็นที่ป่า แล้วยังซื้ออย่างนี้จึงมีเจตนาบุกรุก
3. น.ส.3 เป็นเอกสารเกี่ยวกับที่ดิน ที่รัฐเป็นคนออกให้ เมื่อยังไม่ถูกเพิกถอนก็เป็นเอกสารที่ถูกต้อง หากเราไม่เชื่อเอกสารที่ออกโดยเจ้าหน้าที่รัฐการทำนิติกรรมต่างๆ เกี่ยวกับที่ดินก็ทำไม่ได้เลย เรื่องนี้หากจะผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่ออกน.ส.3นั่นแหละผิด จะโทษประชาชนไม่ได้
4. เปรียบได้กับกรณี อดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ ที่ปลูกบ้านในที่ป่า แล้วต่อมาเมื่อทราบว่าเป็นที่ป่าท่านก็รื้อบ้านออกไป อัยการสั่งไม่ฟ้องอ้างว่าท่านขาดเจตนา นั่นเป็นการซื้อที่ดินมือเปล่าไม่มีเอกสารสิทธิใดๆเลย แต่ของคุณธนาธรซื้อที่ดินที่มีน.ส.3 ด้วยซ้ำ จึงห่างไกลกับการบุกรุกป่าในคดีอาญาเยอะมาก
ในระบอบประชาธิปไตย”ทุกคนต้องเสมอภาคกันต่อหน้ากฎหมาย” หากเราไม่มีอคติทางการเมือง ก็ลองใช้ดุลพินิจดู หากเห็นด้วยกับผม ก็เพียงแสดงความเห็นว่า”เห็นด้วย” หากไม่เห็นด้วย ก็แสดงความเห็นว่า”ไม่เห็นด้วย” แต่ต้องแสดงเหตุผลด้วยว่าท่านไม่เห็นด้วยเพราะเหตุใด อย่าใช้ความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบทางการเมือง อย่าใช้คำหยาบคาย ด้อยค่าคนในคนหนึ่ง ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหนเรื่องแบบนี้ผมตรงไป-ตรงมาเสมอครับ มิใช่ว่าพอถอดเสื้อแจ็คเก็ตพรรคหนึ่งผมจะเปลี่ยนไป เรื่องแบบนี้เราต้องวางหลักให้สังคม ขอขอบคุณท่านที่อ่านมาถึงบรรทัดสุดท้ายอย่างตั้งใจ ต้องยินดีว่าวันนี้ ท่านเป็นคนไทยที่อ่านเกิน 7 บรรทัดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าต่อมามีผู้ติดตามนายนิพิฏฐ์เข้าไปแสดงความเห็นตั้งคำถามระบุว่า
เห็นด้วยครับ หากเปรียบเทียบคดีปรีณา กับ ธนาธร ในคดีบุกรุกป่าเดียวกัน มีความเหมือนหรือแตกต่างกันตรงไหน อย่างไรบ้างครับ
ทำให้นายนิพิฏฐ์ เข้ามาตอบคำถามยืนยันว่าต่างกัน กรณีของคุณปรีณา เป็นเขตปฏิรูปที่ดินชัดเจนครับ และ มีบางส่วนอยู่นอกเขตปฏิรูป ซึ่งถือว่ายังเป็นพื้นที่ป่า อธิบายง่ายๆว่า เมื่อเป็นที่ดิน สปก.เขาจำกัดการครอบครองครับว่าแต่ละคนครอบครองได้คนละกี่ไร่ เช่น 20 ไร่ เกินจากนั้นครอบครองไม่ได้ ของคุณปรีณาครอบครองเกิน โดยใช้ชื่อคนอื่นด้วย จึงผิดครับ
ต่อมามีผู้ติดตามเข้าไปตั้งคำถามอีกว่า ถ้ามีการบันทึกแบบนั้นแล้ว ผมขอถามเป็นความรู้ แล้วทำไมผู้ซื้อหรือหน่วยงานของรัฐเอง ไม่พิสูจน์ให้ชัดเจนก่อนการซื้อขายครับ
ทำให้นายนิพิฏฐ์ ตอบชี้แจงอีกว่า เนื่องจากน.ส.3 ที่ทางราชการออกให้ ยังไม่มีการเพิกถอนครับ จึงถือว่ายังเป็นเอกสารที่ดินที่ถูกต้อง เพียงแต่เริ่มมีข้อสงสัยว่าอาจจะอยู่ หรือ ไม่อยู่ในเขตป่าก็ได้ หากอยู่ในเขตป่าก็ต้องเพิกถอนภายหลังซึ่งผู้ซื้อต้องรับความเสี่ยงเอาเอง ส่วนการบุกรุกที่จะเป็นอาญานั้น ต้องเป็นเจตนาโดยปราศจากข้อสงสัยว่าเป็นที่ป่าแน่นอนแล้วก็ยังซื้อ อย่างนี้จึงเป็นบุกรุกในทางอาญาครับ
ขณะที่ผู้ติดตามนายนิติคนตั้งคำถามว่า ก็อยากทราบเหมือนกันค่ะว่า ธนาธร ซื้อก่อนหรือหลังมีนส3 ค่ะ แต่ถ้าซื้อก่อนแล้วค่อยมายื่น น่าจะผิดไหมคะ
ทำให้นายนิพิฏฐ์ เข้าไปตอบคำถาม ระบุว่า 1.เขาซื้อตอนมีน.ส.3 แล้วครับ 2.เขาซื้อเป็นรายที่ 2 (หรือรายที่ 3 ) ครับ ไม่ใช่ซื้อเป็นรายแรกครับ กล่าวคือ มีการซื้อมาหลายทอดแล้วครับ