เปิดเหตุTASCOอันตราย โรงกลั่นอัมพาตQ1ปีหน้า
ทันหุ้น-สู้โควิด-TASCO ส่อแววทรุด หลังถูกสหรัฐกดดันให้ยกเลิกซื้อน้ำมันดิบจากเวเนซูเอลา ทำให้จำเป็นต้องปิดโรงกลั่นในมาเลเซียชั่วคราว เดินหน้าเร่งตุนน้ำมันดิบก่อนจะถูกแทรกแซงสิ้น พ.ย. โบรกคาดใช้ได้แค่ Q1/64 รับต้องดันสัดส่วนธุรกิจ Trading เพิ่ม ด้านโบรกเกอร์แห่ปรับลดราคาเป้าหมายลง พร้อมแนะให้หลีกเลี่ยง ราคาหุ้นรูดลงฟลอร์ตลอดทั้งวัน
จากกรณีที่บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCOแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า ได้ยกเลิกการซื้อน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลา หลังสหรัฐร้องขอ และหากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐ ส่งผลให้บริษัทต้องหยุดซื้อน้ำมันดิบตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป และทำให้บริษัทต้องปิดโรงกลั่นในเมือง Kemaman เป็นการชั่วคราว เมื่อวานนี้(14 ก.ย.) ผู้บริหารได้ให้ข้อมูลแก่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด(มหาชน) คาดว่าแนวทางการแก้ปัญหาของ TASCOยังต้องใช้เวลาและเป็นความเสี่ยงต่อการลงทุน โดยบริษัทจะซื้อน้ำมันดิบจากเวเนซูเอลาให้มากสุดก่อน จะถูกแทรกแซงในสิ้นพฤศจิกายน 2563 เบื้องต้นน้ำมันดิบจะเพียงพอถึงไตรมาส 1/2564
นอกจากนี้ก็จะหาน้ำมันดิบจากแหล่งอื่น เบื้องต้นที่ใช้ได้กับโรงงานของ TASCO มี 13-15 ชนิดน้ำมัน แต่ยังมีข้อจำกัดการผลิต ส่วนใหญ่ยังต้องใช้น้ำมันจากเวเนซูเอลาผสมต่อไป และบริษัทยังไม่ทราบแหล่งซื้อและปริมาณที่ใช้ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาและติดต่อผู้ขาย , เพิ่มธุรกิจส่วน Trading คือการซื้อยางมะตอยมาจำหน่ายต่อมากขึ้น ในภาวะที่ยางมะตอยหายาก และบริษัทจะเน้นแนวทางเพิ่มมาร์จิ้น ทั้งสินค้ากลุ่มพรีเมียม และมุ่งธุรกิจเน้นขายลูกค้ารายย่อยในต่างประเทศ คล้ายกับที่ไทยซึ่งมีมาร์จิ้นสูง
ฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ฯ โนมูระ พัฒนสิน คาดว่าในระยะสั้นจะเริ่มเห็นผลกระทบตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/2564 ขณะที่บริษัทให้เป้าหมายปริมาณการขายในปี 2564 ส่วนที่รับผลกระทบอยู่ที่ราว 1 ล้านตันต่อปี คิดบนกรณีหาแหล่งทดแทนอื่นไม่ได้ และคิดเป็น 50% ของปริมาณขายรวม 2-2.2 ล้านตันต่อปี ทำให้เป้าหมายจะลดเหลือ 1-1.2 ล้านตัน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัยโนมูระ พัฒนสิน ที่กำหนดไว้ที่ 2.15 ล้านตัน
**แห่ปรับลดราคาเป้าหมาย
ฝ่ายวิจัยโนมูระ พัฒนสิน มองเป้าหมายเบื้องต้นออกมาตาม Worst case ปริมาณขายลดลงกว่า 50% และหาแหล่งทดแทนไม่ได้ ทำให้โดยรวมเป็น Downside risk ต่อประมาณการปี 2564 ราว 60%ซึ่งจะทำให้ราคาเป้าหมายของปี 2564 เหลือราว 17 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่คาดไว้ที่ 29.20 บาทต่อหุ้น อย่างไรก็ตามในส่วนของกำไรปี 2563 คาดว่ายังคงเดิมและไม่มีผลกระทบจากประเด็นดังกล่าว ขณะนี้แนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจนการแก้ปัญหาก่อน
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย พลัส จำกัด ได้ปรับลดคำแนะนำในหุ้น TASCO เป็นขาย พร้อมกับปรับลดราคาเป้าหมายใหม่เป็น 15 บาทต่อหุ้น จากเดิมที่ 25.05 บาทต่อหุ้น มองว่าจะมีสต็อกน้ำมันดิบผลิตยางมะตอยเพียงพอแค่ไตรมาส 1/2564 เท่านั้น จากนั้นจะเหลือเพียงธุรกิจ Trading ยางมะตอย นอกจากนี้ยังเผชิญความไม่แน่นอนอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับการหาแหล่งน้ำมันแห่งใหม่ เนื่องจากยอดขายยางมะตอยเกือบรึ่งหนึ่งในแต่ละปี มาจากโรงกลั่นยางมะตอยในมาเลเซีย ดังนั้นการหยุดโรงกลั่นจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลประกอบการในอนาคต
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า(ประเทศไทย) จำกัด คาดกำไรปกติของ TASCO ปี 2563 ได้รับผลกระทบอย่างจำกัด เนื่องจาก ปัจจุบัน TASCO มีน้ำมันดิบที่สามารถผลิตได้จนถึงไตรมาส 1/64 ขณะที่กำไรปกติปี 2564 อาจกระทบมากสุดถึง 40 - 50% อยู่ที่ 1.5 - 1.8 พันล้านบาท หากบริษัทไม่สามารถหาแหล่งน้ำมันดิบจากที่อื่นได้เลย ทำให้โรงกลั่นในมาเลเซียต้องหยุดดำเนินการทั้งปี ส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 จากปัจจุบันที่ 31 บาทต่อหุ้น ลดลงราว 12 - 15 บาทต่อหุ้นแต่หากบริษัทสามารถหาแหล่งน้ำมันดิบมาชดเชยน้ำมันดิบจากประเทศเวเนซูเอลาได้ราว 50% จะทำให้กำไรปกติปี 2564 อยู่ระหว่าง 2.2 - 2.5 พันล้านบาท ส่งผลกระทบต่อราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2564 จากปัจจุบันที่ 31 บาทต่อหุ้น ลดลงราว 5 - 8 บาทต่อหุ้น
ราคาหุ้น TASCO เปิดมาอยู่ที่ 20.40 บาท ลดลง 3.50 บาท หรือ 14.64%และราคาก็อยู่ในระดับดังกล่าว จนปิดตลาด โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 134.76 ล้านบาท