พิชัย เตือน ประยุทธ์ เลิกให้ลูกน้องด่าอเมริกา หลังถูกตัด GSP กว่าหกหมื่นล้าน!
"พิชัย" เตือน ประยุทธ์ เลิกให้เครือข่ายสร้างความเกลียดชังสหรัฐ จะเป็นผลเสียกับไทย ชี้ ถูกตัดจีเอสพี 2 ครั้งติดกันคือคำเตือน แนะ ถ้ารักชาติจริงต้องรีบออก
วันนี้ (4 พ.ย.) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า ตามที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) กับไทยเป็นครั้งที่สองในปีนี้ ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยอีก 231 รายการมูลค่ากว่า 25,000 ล้านบาท มีผลวันที่ 30 ธันวาคม ปีนี้ หลังจากที่เพิ่งประกาศตัดสิทธิทางภาษีศุลกากร สำหรับสินค้าไทย 573 รายการมูลค่าเกือบ 40,000 ล้านบาท มีผลตั้งแต่ 25 เมษายน ที่ผ่านมา
การถูกประกาศตัด จีเอสพี สองครั้งติดกันในปีเดียว อีกทั้ง ประกาศก่อนจะมีการเลือกตั้งประธานาธิปดีเพียงอีกไม่กี่วัน น่าจะเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐบาลไทยทราบว่า สหรัฐมีความไม่พอใจกับรัฐบาลไทยอย่างมาก ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว. กลาโหม น่าจะพอทราบดีว่ามาจากสาเหตุใดบ้าง
แม้สหรัฐจะอ้างสาเหตุต่างๆ แต่สาเหตุส่วนหนึ่งน่าจะมาจาก การปฏิบัติการข่าวสาร (ไอโอ) ของฝั่งรัฐบาล และ เครือข่ายพลเอกประยุทธ์ที่พยายามกล่าวหาว่าสหรัฐอยู่เบื้องหลังและเป็นผู้สนับสนุนการชุมนุมของประชาชนจำนวนมากที่ต้องการขับไล่พลเอกประยุทธ์ที่ประกอบด้วยนักเรียน นักศึกษาเป็นส่วนใหญ่ และพยายามสร้างความเกลียดชังสหรัฐ
ขนาดมีมวลชนที่สนับสนุนรัฐบาลไปประท้วงที่หน้าสถานทูตสหรัฐหลายหน อีกทั้งให้คนในเครือข่ายออกมาวิจารณ์ต่อว่าสหรัฐแบบเสียหาย ซึ่งไม่น่าจะเป็นการกระทำที่ฉลาดนัก แม้ว่าโดยส่วนตัวแล้ว ผมไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง และยืนยันจากการได้พูดคุยกับนักการทูตสหรัฐ
แต่ถ้าหากเป็นจริงแล้วมีการทำไอโอแบบนี้จะเป็นผลเสียทำลายความมั่นคงของพลเอกประยุทธ์เอง เพราะพลเอกประยุทธ์จะเอาอะไรไปสู้กับสหรัฐได้ ไม่ว่าจะในด้านไหน เพราะขนาดประเทศจีนที่แข็งแกร่งยังต้องวุ่นวายอย่างหนักในการรับมือกับสหรัฐในหลายรูปแบบ
การทำไอโอดังกล่าวเหมือนเป็นการประกาศความเป็นศัตรูกลายๆกับสหรัฐ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงอย่างมากในการวางตำแหน่งที่เหมาะสมของประเทศไทย ซึ่งพลเอกประยุทธ์ควรจะต้องกลับไปทบทวนแนวคิดนี้ เพราะจะเป็นผลเสียต่อประเทศไทยอย่างมาก อย่าให้ประชาชนคิดกันได้ว่า พลเอกประยุทธ์ เพียงเพื่อจะพยายามทำลายเครดิตของผู้ชุมนุมและเพื่อเอาตัวรอด จึงเอาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐมาเสี่ยงเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจะส่งผลเสียกับประเทศไทยในระยะยาว
หากมองย้อนประวัติศาสตร์จะพบว่าไทยได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่ดีกับสหรัฐมาตลอด ตั้งแต่สมัยสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐก็ช่วยไทยไม่ให้เป็นประเทศแพ้สงครามโดยอ้างเสรีไทยในสหรัฐ ทำให้ไทยไม่ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล
ต่อมาในการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ก็ได้สหรัฐมาช่วยเหลือเช่นกันทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศคอมมิวนิสต์และทำให้การค้าการลงทุนหลั่งไหลเข้าไทย จนประเทศไทยพัฒนาก้าวหน้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคอมมิวนิสต์มาก ซึ่งตรงข้ามกับปัจจุบันที่การค้าและการลงทุนหลั่งไหลไปประเทศเพื่อนบ้านหมดแต่ไม่เข้าไทยเลยหลังจากที่มีการปฏิวัติรัฐประหารในปี 2557 จนถึงปัจจุบันที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ถูกประชาคมโลกมองว่าเป็นรัฐบาลสืบทอดระบอบเผด็จการ
การที่ไทยโดนสหรัฐตัดจีเอสพี ถึง 2 หนในปีเดียว จะยิ่งทำให้การส่งออกไทยที่ย่ำแย่อยู่แล้ว โดยคาดว่าปีนี้อาจจะติดลบถึง -10% จะยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก นอกจากนี้ยังจะทำให้การลงทุนหายไปด้วย เพราะนักลงทุนจะไม่ลงทุนในการผลิตสินค้าที่ถูกตัดจีเอสพี เพราะจะต้องจ่ายภาษีศุลกากรซึ่งจะทำให้แข่งขันยาก และ อาจห่วงว่าจะมีการตัดจีเอสพีในสินค้าอื่นเพิ่มเติมอีกหรือไม่ นักลงทุนคงย้ายการลงทุนไปประเทศอื่นที่เขามั่นใจมากกว่าว่าจะไม่โดนตัดจีเอสพีแน่ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นได้ยากมาก
แม้จะอ้างเหตุผลต่างๆที่สหรัฐตัดจีเอสพีไทย แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องยอมรับคือรัฐบาลไทยไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีที่จะเจรจาต่อรองกับสหรัฐในเรื่องนี้ได้เลย และพลเอกประยุทธ์ที่อ้างว่าสนิทแนบแน่นกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็ไม่น่าจะเป็นความจริง และ ก็ต้องเชื่อได้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะต้องมีความไม่พอใจรัฐบาลไทยในหลายเรื่อง และน่าจะรวมเรื่องการสร้างความเกลียดชังสหรัฐให้เกิดขึ้นในหมู่คนไทยด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น นายโดนัลด์ ทรัมป์ หรือ นายโจ ไบเดน ที่จะชนะการเลือกตั้ง หากสหรัฐเห็นว่ารัฐบาลพลเอกประยุทธ์สร้างความเกลียดชังและเป็นภัยต่อประเทศสหรัฐ สหรัฐก็คงไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทยแน่ ตราบเท่าที่พลเอกประยุทธ์ยังคงเป็นผู้นำของประเทศนี้ ซึ่งจะทำให้การค้าการลงทุนของไทยที่แย่อยู่แล้ว
ยิ่งจะแย่ลงไปอีก โดยไม่มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้เลย ยิ่งตอกย้ำที่เคยบอกไว้แล้วว่า ยิ่งพลเอกประยุทธ์อยู่นาน ยิ่งจะถ่วงความเจริญของประเทศ ดังนั้นหากพลเอกประยุทธ์รักประเทศจริงตามที่เคยประกาศไว้ พลเอกประยุทธ์ ก็ควรจะต้องรีบลาออกไปก่อนที่ปัญหาจะเพิ่มมากขึ้น