รีเซต

"พรรคประชาชน" ชูนโยบายแก้ระบบสาธารณสุขไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หมอ-คนไข้รอดไปด้วยกัน

"พรรคประชาชน" ชูนโยบายแก้ระบบสาธารณสุขไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หมอ-คนไข้รอดไปด้วยกัน
TNN ช่อง16
31 ธันวาคม 2568 ( 01:23 )
8

พรรคประชาชน เผยแพร่นโยบายด้านระบบสุขภาพผ่านเว็บไซต์ของพรรค โดยสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หมอ-คนไข้รอดไปด้วยกัน และไม่ทิ้งภาระให้คนรุ่นหลัง"โดยมีรายละเอียดดังนี้


การจัดบริการสุขภาพแบบเน้นคุณค่า (value- based care)

เราจะทำอะไร (WHAT)

เปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณ: จากการจัดสรรตาม "ปริมาณการให้บริการ" เป็นการจัดสรรตาม "ผลลัพธ์ทางสุขภาพ" ของประชาชน โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง


ใช้ระบบจ่ายเงินใหม่: นำระบบ การจ่ายเงินแบบมัดร่วมตลอดเส้นทางการดูแลรักษาโรค (Bundled Payment) และ การจ่ายเงินตามผลลัพธ์ (Outcome-Based Payment) มาใช้ เพื่อมอบรางวัล (Incentive) ให้แก่ผู้ให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพในการควบคุมโรคและลดภาวะแทรกซ้อน


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนกำหนดแผนดำเนินการใน 3 ระยะ ดังนี้:


1. ระยะสั้น (1–2 ปี)

ตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่าระดับชาติ เพื่อกำหนดเป้าหมายและกำกับดูแลนโยบายอย่างต่อเนื่อง


พัฒนาตัวชี้วัดผลลัพธ์ของโรคเรื้อรัง ทั้งผลลัพธ์ทางคลินิก (เช่น การควบคุมน้ำตาล) และผลลัพธ์ในมุมมองผู้ป่วย รวมถึงต้นทุนการจัดบริการ


นำร่องการจัดบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า ในจังหวัดที่พร้อม


วิเคราะห์ "งบประมาณที่สอดคล้องผลลัพธ์" (Outcome-Based Budgeting)


2. ระยะกลาง (3–4 ปี)

ขยายเครือข่ายการจัดบริการสุขภาพแบบบูรณาการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ


เปิดเผยผลลัพธ์คุณภาพของสถานพยาบาลให้ประชาชนรับทราบในระดับพื้นที่และระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนใช้ประกอบการตัดสินใจ


ปรับระบบจ่ายเงินของทุกกองทุนสุขภาพภาครัฐ (บัตรทอง, ประกันสังคม, ข้าราชการ) ให้ สอดคล้องกันและมุ่งเน้นการจ่ายตามคุณภาพที่ประชาชนได้รับ


ใช้ข้อมูลผลลัพธ์มาตัดสินการจัดสรรงบประมาณอย่างโปร่งใส


3. ระยะยาว (5 ปีขึ้นไป)

ใช้ระบบการจ่ายเงินแบบมุ่งเน้นคุณค่า (Value-Based Payment) เต็มรูปแบบครอบคลุมโรคสำคัญทั้งหมด


เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (HIE) สมบูรณ์ทั้งประเทศ


สร้างระบบสุขภาพที่มีความยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง โดยใช้งบประมาณตามความต้องการที่พิสูจน์ได้จริง


การปฏิรูประบบสาธารณสุข กทม.

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนจะปฏิรูปเพื่อสร้างระบบสุขภาพ กทม. ที่มีเจ้าภาพชัดเจนและทำงานเป็นเครือข่าย โดยมีข้อเสนอหลักดังนี้:


1. มีเจ้าภาพชัดเจน: เปลี่ยนให้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยโอนอำนาจการบริหารจัดการงบประมาณบัตรทองทั้งหมดมาอยู่ที่ กทม.


2. ปฏิรูปงบประมาณ: กำหนดงบประมาณบัตรทองใหม่ ให้ สอดคล้องกับต้นทุนที่แตกต่างกัน ของพื้นที่ กทม. และเชื่อมโยงข้อมูลต้นทุนของการบริการทั้งเครือข่าย


3. พัฒนาเครือข่าย “คลัสเตอร์บริการเชิงพื้นที่" (Area-based Cluster) ที่เชื่อมโยงโรงพยาบาลตติยภูมิของทุกหน่วยงาน (แม่ข่าย) เข้ากับหน่วยบริการปฐมภูมิ ทั้งของรัฐและของเอกชน รวมถึงหน่วยนวัตกรรม (เครือข่าย) ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ กำหนดการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยให้ชัดเจนว่าหน่วยบริการปฐมภูมิใดต้องจับคู่กับโรงพยาบาลใด


4. เพิ่มศักยภาพภาครัฐ: สร้างโรงพยาบาลเพิ่มในพื้นที่ขาดแคลน และ ปรับปรุง/อัพเกรด ศูนย์บริการสาธารณสุข โดยเน้นงาน ส่งเสริมป้องกันโรค (Preventive Care) และดูแลผู้ป่วยซับซ้อน (NCDs, ผู้ป่วยระยะกลาง/ระยะยาว/ระยะยาวท้าย, ผู้ป่วยจิตเวช)


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายและการปรับกลไกการบริหารจัดการ ดังนี้:


1.แก้ไขกฎหมาย: 

แก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง อำนาจคณะกรรมการ กองทุนและการจัดสรรงบ และเขตบริการสุขภาพ

แก้ไข พ.ร.บ. กทม. เรื่องอำนาจผู้ว่า หน่วยงาน และกลไกการกำกับตรวจสอบ

2.ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการ: ตั้งคณะกรรมการของ กทม. ซึ่งมีทุกภาคส่วนร่วม เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ กำหนดนโยบาย และกำกับดูแล

3.จัดตั้ง “คลัสเตอร์บริการเชิงพื้นที่" (Area-based Cluster): 

เจรจาจัด “คลัสเตอร์บริการ” (cluster) ร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่ายทุกสังกัด คล้าย นพรัตน์ Model 

นำร่อง 1 แห่งในปีแรก และขยายผลให้ครอบคลุม กทม. ภายใน 4 ปี (กำหนดให้ครอบคลุมประชากรคลัสเตอร์บริการละ 150,000-250,000 คน)

4.พัฒนาระบบข้อมูลและต้นทุน: เร่งทำมาตรฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยและหน่วยบริการให้เสร็จสิ้น โดยศึกษาต้นทุนใหม่ให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2571

5.เพิ่มโรงพยาบาลรัฐ: สร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ยังมี “แม่ข่าย” ไม่เพียงพอ หรือโรงพยาบาลทุติยภูมิ โดยเพิ่มจากแผนในปัจจุบันอีก 1,700 เตียง ใช้งบประมาณ 8,500 ล้านบาท

6.สนับสนุนหน่วยบริการปฐมภูมิด้วย Outcome Base: 

สนับสนุนงบประมาณเพิ่มให้หน่วยบริการปฐมภูมิ 

ปรับแรงจูงใจ (Incentive) เป็นแบบ มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome Base) เพื่อให้หน่วยปฐมภูมิทำงานเชิงรุกด้านส่งเสริมป้องกันและดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง 

งบลงทุน 700 ล้านบาท และงบดำเนินการเพิ่มปีละ 1,000 ล้านบาท

7.กำหนดมาตรฐานยา: ตั้งมาตรฐานการเบิกจ่ายยาของทุกหน่วยบริการให้เหมือนกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับยามาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะเข้ารับบริการที่ใด


สร้างความเท่าเทียม 3 กองทุนสุขภาพ

ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบสุขภาพหลัก 3 กองทุน (บัตรทอง, ประกันสังคม, ข้าราชการ) 

เราจะทำอะไร (WHAT)

ชั้นที่ 1: ชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน (Core Package): 

กำหนดชุดสิทธิประโยชน์มาตรฐาน ที่จำเป็นในการรักษาและป้องกันโรค ทุกกองทุนต้องให้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานนี้

เช่น รักษาโรคร้ายแรง, ทันตกรรม, การแพทย์ฉุกเฉิน, ฟื้นฟูสมรรถภาพ

ชั้นที่ 2: ส่วนเสริมโดยนายจ้าง (Top Up): กำหนดชุดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่หน่วยงานรัฐ (กรมบัญชีกลาง) ในฐานะนายจ้างของข้าราชการ หรือสำนักงานประกันสังคม จ่ายสมทบเพิ่มให้เป็นสวัสดิการ

ชั้นที่ 3: ส่วนเสริมส่วนบุคคล (Private Insurance): ประชาชนซื้อประกันสุขภาพเอกชนเพิ่มเติมเอง สำหรับความต้องการพิเศษที่เกินกว่าสิทธิพื้นฐาน


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

เพื่อให้เกิดชุดสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและการบริหารจัดการที่โปร่งใส พรรคประชาชนมีแนวทางดำเนินการดังนี้

1. ตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐาน: 

ปรับปรุง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อจัดตั้ง คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน 

โดยมีตัวแทนจากทั้ง 3 กองทุน ผู้ให้บริการ ฝ่ายวิชาการ และภาคประชาชน 


2. จัดตั้ง National Clearing House (NCH): 

เป็น หน่วยงานกลางจัดการข้อมูลและธุรกรรมการเบิกจ่ายเงิน เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูลเดียว และตรวจสอบการเบิกจ่ายได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า 

NCH จะให้ข้อมูลในการกำหนด ราคาค่าบริการสุขภาพที่เป็นธรรม สำหรับทุกโรงพยาบาลและทุกกองทุน ทำให้โรงพยาบาลได้รับค่าบริการที่สอดคล้องกับต้นทุน ไม่ต้องรีดเค้นศักยภาพหรือลดคุณภาพการบริการ


3. บริหารยาและเวชภัณฑ์ร่วมกัน: รวมการซื้อยาและเวชภัณฑ์ (Collective Purchasing) ของทั้ง 3 กองทุน เพื่อให้มีอำนาจต่อรองราคาสูงขึ้น และได้ยาคุณภาพดีในราคาที่ถูกลง


4. เปิดช่องทางประกันสุขภาพส่วนเสริม (Top-up): อนุญาตให้นายจ้างหรือบริษัทประกันเอกชนเสนอแพ็กเกจเสริมสำหรับบริการที่อยู่นอกเหนือชุดพื้นฐาน (เช่น ห้องพิเศษ ยานอกบัญชีบางประเภท การตรวจสุขภาพเพิ่ม) เพื่อความยืดหยุ่นและช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณภาครัฐ


การปฏิรูประบบบริหารจัดการของ สปสช.

เราจะทำอะไร (WHAT)

เพื่อเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบบัตรทอง พรรคประชาชนเสนอมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการดังนี้:


เพิ่มงบประมาณที่จำเป็น: เพิ่มงบประมาณลงทุนในระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะส่วน สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และการเพิ่มคุณภาพการบริการที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุข


สนับสนุนการวิจัยและศึกษาต้นทุนที่แท้จริงของการจัดบริการ เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสอดคล้องกับต้นทุน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่และโครงสร้างประชากร 


สนับสนุนบริการเชิงคุณค่า (Value based healthcare): สนับสนุนบริการและการจ่ายบริการชุดสิทธิประโยชน์ เช่น การฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการ ตัดลด สิทธิประโยชน์ที่ไม่จำเป็นหรือให้คุณค่าต่ำ


ปรับปรุงระบบการจ่ายเงินให้รวดเร็ว: ปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจสอบความถูกต้องและการเบิกค่าใช้จ่ายให้รวดเร็วใกล้เคียงการจ่ายแบบ Real Time เพื่อลดความไม่แน่นอนและการเรียกคืนค่าชดเชยบริการย้อนหลัง


สื่อสารสิทธิประโยชน์ของบัตรทองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อปรับความคาดหวังของประชาชนให้ใกล้เคียงกับศักยภาพที่ระบบทำได้


เพิ่มความโปร่งใสและการถ่วงดุล: ปรับปรุงระบบควบคุมกำกับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดย:


ปรับสัดส่วนคณะกรรมการ ให้สะท้อนผู้มีส่วนได้เสียในระบบครบทุกองค์ประกอบ


กำหนดวาระและลดบทบาทที่ทับซ้อนของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ให้กรรมการเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายและผู้ดำเนินงาน


เปิดเผยข้อมูลบุคคลของคณะกรรมการ ช่วยในการตรวจสอบประโยชน์ทับซ้อน และเปิดเผยข้อมูลวิชาการประกอบการตัดสินใจปรับปรุงชุดสิทธิประโยชน์


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนจะดำเนินการผ่านการแก้ไขกฎหมายหลักและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี:

1.แก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ:

แก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพิ่มสัดส่วนผู้ให้บริการ ภาคประชาชน และคณะกรรมการจากพื้นที่ (อปสข.) เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการงบประมาณ


กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง และเปิดเผยข้อมูลคณะกรรมการที่อาจกระทบกับการกำหนดนโยบายสุขภาพ


2.เพิ่มงบประมาณเพื่อคุณภาพ: จัดงบประมาณเพิ่มเติมอย่างน้อย 17,000 ล้านบาท สำหรับผู้ป่วยใน (อัตราไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อ AdjRW) พร้อมเพิ่มสัดส่วนงบเพื่อ สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และงบพัฒนาคุณภาพการบริการที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ


3.วิจัยศึกษาต้นทุนการให้บริการ และประเมินผลความคุ้มค่าของชุดสิทธิประโยชน์ โดยใช้ประโยชน์จาก พ.ร.บ. ระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัล, National Clearing House และ เทคโนโลยี AI มาคำนวณต้นทุนการจัดบริการที่แม่นยำ คำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่และโครงสร้างประชากร


4.ยุติการประกาศเกณฑ์การจ่ายที่ให้ผลย้อนหลัง เมื่อ สปสช. กำหนดเกณฑ์การจ่ายแล้ว ให้ยึดเกณฑ์การจ่ายนั้นตลอดปีงบประมาณ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเบิกจ่าย และควรมีระบบบัฟเฟอร์รองรับกรณีคาดการณ์ค่าใช้จ่ายคลาดเคลื่อน


5.เปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วม: สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และการจัดทำ/ปรับปรุง/ตัดชุดสิทธิประโยชน์ โดยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมแสดงความเห็น และมีข้อมูลวิชาการประกอบการตัดสินใจ


6.สื่อสารชุดสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนรับทราบอย่างชัดเจนผ่านสมุดพกสุขภาพ


การพัฒนาระบบยาเพื่อประชาชน

เราจะทำอะไร (WHAT)

1.ปรับปรุงกฎหมายยา เพื่อรองรับ ระบบใบสั่งยาแห่งชาติ ที่ใช้ในทุกสถานพยาบาล ทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้ข้อมูลการสั่ง–จ่ายยาเชื่อมโยงกัน ช่วยส่งเสริมการใช้ยาที่สมเหตุผลและเพิ่มความปลอดภัยของประชาชน

2.ยกระดับอุตสาหกรรมยาไทย ผลักดันการผลิต ยาต้นน้ำ และลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ สนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับปรุงการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล เช่น GMP–PIC/S

3.พัฒนาระบบข้อมูลกลางด้านยา พัฒนา ศูนย์กลางข้อมูลยาแห่งชาติ (National Drug Information Center) เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางด้านยาตลอดห่วงโซ่ พร้อมพัฒนาและบังคับใช้ ระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ (e-Prescription)

4.ส่งเสริมการใช้ยาที่สมเหตุผล และเพิ่มความปลอดภัยของประชาชน รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจทั้งในฝ่ายวิชาชีพและประชาชน มีการติดตาม/วิเคราะห์เพื่อแก้ขปัญหาการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม หรือไม่สมเหตุสมผล


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. ปฏิรูปกฎหมายยาไทยทั้งระบบ

ปรับปรุง พ.ร.บ. ยา: เพิ่มบทบัญญัติจัดตั้ง คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ และยกระดับการควบคุมยาควบคุมพิเศษและวัตถุออกฤทธิ์ ให้จ่ายได้เฉพาะตามใบสั่งยาที่ออกโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้รับอนุญาต พร้อมกำหนดให้สถานที่จ่ายยาทุกประเภทต้องอยู่ภายใต้ใบอนุญาตขายยา เพื่อรองรับระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ระดับประเทศ


ปรับปรุง พ.ร.บ. วิชาชีพเภสัชกรรม: ให้สามารถออกข้อบังคับเพื่อกำหนด ขอบเขตงานของแต่ละวิชาชีพ ให้ชัดเจน มีมาตรฐานเดียวกันในการประเมินความรู้และทักษะของผู้ประกอบวิชาชีพทุกสาขา เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามหลักวิชาการและปลอดภัยต่อประชาชน


ปรับปรุง พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ: ปรับปรุงกฎระเบียบการจัดซื้อจัดหาให้ ยืดหยุ่นขึ้น และเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของยา เพื่อให้สถานพยาบาลสามารถจัดซื้อยาได้อย่างคล่องตัวและต่อเนื่อง


2. สร้างอุตสาหกรรมยาใหม่เพื่อความมั่นคง

จัดตั้งศูนย์กลางด้านการพัฒนาและผลิตยาต้นน้ำของประเทศ เพื่อเร่งสร้างขีดความสามารถในการผลิตวัตถุดิบยา (API) และลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยกำหนด สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน สำหรับโรงงานผลิตวัตถุดิบยา


ผลักดันองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงยา 

ผลักดันการวิจัยและพัฒนายา แล้วเปิดโอกาสให้เอกชนต่อยอด 

เน้นการผลิตหรือจัดหาวัตถุดิบทางยาที่สำคัญ

มุ่งผลิต ยากำพร้า หรือยาจำเป็นที่เอกชนไม่ผลิต 

รักษาสมดุลด้านราคาและปริมาณยาในช่วงวิกฤต


3. สร้างข้อมูลกลางด้านยาและระบบใบสั่งยาออนไลน์

จัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลยาแห่งชาติ (NDIC): กระทรวงสาธารณสุขจะจัดตั้ง ศูนย์กลางข้อมูลยาแห่งชาติ เพื่อรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลด้านยาทุกมิติอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนด รหัสยาแห่งชาติ (National Drug Code) และ ราคากลางยาแห่งชาติ (National Drug Reference Price) ให้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับยาทุกชนิด


พัฒนา e-Prescription: พัฒนาและบังคับใช้ ระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์กลาง (e-Prescription) ให้ครอบคลุมทุกสถานพยาบาลและร้านขายยา เพื่อให้ข้อมูลยาเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มความปลอดภัยในการใช้ยา และทำให้ราคายาโปร่งใส


ฟื้นด่านหน้าสุขภาพไทย

เราจะทำอะไร (WHAT)

1. ยกระดับคุณภาพบริการ: ยกระดับหน่วยปฐมภูมิให้เป็น หน่วยบริการหลักด่านแรก ของระบบสุขภาพ ที่สามารถตรวจคัดกรอง รักษา ดูแลส่งเสริมป้องกันได้อย่างมีคุณภาพ


2. เพิ่มกำลังคนเต็มที่: เพิ่มแพทย์ประจำ และบรรจุบุคลากรและสหวิชาชีพให้ปฏิบัติการได้ 70-100% ของกรอบอัตรากำลัง พร้อมเสริม แนวหน้าสุขภาพเฉพาะทาง อีก 100,000 ตำแหน่ง


3. เพิ่มงบพัฒนาโครงสร้างบริการ: โดยเฉพาะงาน ป้องกันโรค และการดูแลกลุ่มประชากรสำคัญ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย NCDs และผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง


4. วางระบบถ่ายโอนอย่างมีมาตรฐาน: วางระบบถ่ายโอน รพ.สต. ให้ครบ 80% ภายใน 4 ปี พร้อมกำหนดมาตรฐานบริการที่ชัดเจนและการประเมินคุณภาพรายปี


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

พรรคประชาชนจะดำเนินการผ่านการปฏิรูป 3 ด้านหลัก:


1. ระบบการถ่ายโอนที่ชัดเจนและไร้รอยต่อ

ปรับบทบาทสาธารณสุข สู่ "พี่เลี้ยง": กำหนด KPI ร่วม ระหว่างกระทรวงมหาดไทยและสาธารณสุข โดยเน้นตัวชี้วัดที่เน้นผลลัพธ์ (หรือ Outcome Based) ที่สอดคล้องกับปัจจัยที่กำหนดสุขภาพในพื้นที่ เพื่อให้การถ่ายโอนไม่ทำให้คุณภาพการบริการลดลง และใช้คณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่เป็นกลไกกำกับติดตาม


ปรับกลไกการแบ่งเงินในพวงบริการ: ศึกษาการแบ่งงบประมาณในหน่วยบริการคู่สัญญาหลัก (Contracting Unit for Primary Care: CUP) ใหม่ โดยยึดตามภาระงานจริง พร้อมกำหนด สัดส่วนงบประมาณขั้นต่ำ ที่ต้องส่งตรงถึงหน่วยปฐมภูมิ และเปิดเผยสถิติการจัดสรรอย่างโปร่งใส เพื่อให้หน่วยบริการด่านหน้ามีศักยภาพเพียงพอ


ทั้งนี้ หน่วยบริการคู่สัญญาหลัก (CUP) มักเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่รับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจากรัฐมาบริหารจัดการ เปรียบเสมือน “คนถือกระเป๋าเงิน" ของพื้นที่ และกระจายเงินต่อให้หน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่


อบรมทักษะบริหารจัดการ: จัดหลักสูตรอบรมทักษะการบริหารงานสาธารณสุขให้ผู้บริหารและบุคลากรของ อปท. และ รพ.สต. เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการถ่ายโอน


2. กำลังคนเพียงพอ มีเส้นทางอาชีพก้าวหน้า

เพิ่มแพทย์ประจำเครือข่าย: 

สนับสนุนงบจ้างแพทย์ปฏิบัติงานประจำเครือข่าย ดูแลประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดเป้าหมายชั่วโมงการทำงานให้ครอบคลุมประชากร (Full-Time Equivalent: FTE) ในสัดส่วน 0.5 ต่อประชากร 10,000 คน (หรือเทียบเท่าแพทย์ปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ละ 3 วัน) 


ให้ รพ.สต. ขนาดใหญ่และขนาดกลางเป็นฐาน รพ.สต.ขนาดเล็กเป็นเครือข่าย


สร้างเส้นทางอาชีพแพทย์ท้องถิ่น: กำหนดเส้นทางความก้าวหน้าวิชาชีพของแพทย์ในสังกัดท้องถิ่น โดยให้แพทย์สามารถปฏิบัติงานในโรงพยาบาลระดับสูงได้บางช่วงเวลา เพื่อรักษาและพัฒนาทักษะวิชาชีพ


แก้กรอบอัตรากำลังและค่าตอบแทน: แก้กรอบอัตรากำลังของมหาดไทยเพื่อบรรจุแพทย์ในอัตราท้องถิ่นได้ พร้อมทั้งแก้ระเบียบค่าตอบแทนและระเบียบเงินบำรุง เพื่อให้บุคลากรได้รับผลตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม


จัดโครงการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและแพทย์เพื่อชุมชน ที่เป็นสาขายุทธศาสตร์ของระบบปฐมภูมิ

อุดหนุนงบประมาณอย่างน้อย 15,000  ล้านบาท/ปี เพื่อเพิ่มกำลังคนให้เต็มกรอบ

เพิ่มกำลังคน รพ.สต. ให้เต็ม 70-100% ของกรอบ (เฉลี่ยเพิ่ม 3-5 คน/แห่ง)

พัฒนา แนวหน้าสุขภาพเฉพาะทาง 100,000 คน ได้แก่ แม่และเด็ก สุขภาพจิตการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อทำงานเชิงรุกส่งเสริมป้องกันดูแลระยะยาว รวมถึง Caregiver มืออาชีพ 70,000 คน สำหรับงาน Long Term Care


3. ยกระดับคุณภาพบริการปฐมภูมิ

ปรับ KPI สู่ Outcome Base: ลด KPI ที่ไม่จำเป็น และเพิ่มสัดส่วน KPI รวมถึงงบประมาณจาก สปสช. ที่เป็น Outcome Base  โดยเฉพาะงานส่งเสริมป้องกันและดูแลโรคเรื้อรัง


ลงทุนพัฒนาโครงสร้าง: สนับสนุน งบลงทุน 20,000 ล้านบาท (1-3 ล้านบาท/รพ.สต.) เพื่อจัดหาครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐาน เช่น ทันตกรรม กายภาพบำบัด Telemedicine และ Lab ขนาดเล็ก


พัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพ: สนับสนุนงบลงทุนเพื่ออัพเกรดซอฟต์แวร์ระบบข้อมูลสุขภาพและบุคลากร IT ให้สามารถจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ


จัดทำต้นแบบกระบวนงานใหม่ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นโดยเฉพาะงานเอกสาร 


สนับสนุนการจัดทำแอปพลิเคชันให้ประชาชนมีข้อมูลสุขภาพเพื่อวางแผนดูแลสุขภาพของตนเอง เช่น หมอพร้อม ทางรัฐ ฯลฯ



สร้างฐานข้อมูลสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ

เราจะทำอะไร (WHAT)

พรรคประชาชนจะสร้างรากฐานข้อมูลสุขภาพดิจิทัลที่แข็งแกร่งและมีมาตรฐานเดียวกัน มีข้อเสนอหลักดังนี้:


จัดตั้งหน่วยงานกำกับ: จัดตั้ง ศูนย์ระบบข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ (National Health Data Center) เป็นหน่วยงานในการอำนวยความสะดวกและกำกับนโยบายระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัลของประเทศให้มีมาตรฐาน


ตั้งหน่วยงานเบิกจ่ายกลาง: จัดตั้ง National Clearing House (NCH) เพื่อสร้างเอกภาพข้อมูลธุรกรรมการเบิกจ่ายระหว่างโรงพยาบาลทุกสังกัดกับกองทุนสุขภาพ


จัดทำ สมุดพกข้อมูลสุขภาพประจำตัวประชาชน (Personal Health Record) ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงชุดข้อมูลสุขภาพของตนเองได้ผ่านแอปพลิเคชันที่คุ้นเคย (เช่น หมอพร้อม)


ปรับปรุงระบบสารสนเทศของหน่วยบริการทุกระดับครั้งใหญ่ ให้มี มาตรฐานเดียวกัน


พัฒนากำลังคนสุขภาพดิจิทัลในทุกระดับ เพื่อรองรับการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสุขภาพ


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. ออก พ.ร.บ. ระบบข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ (National Health Data Act):


เพื่อให้สามารถจัดตั้งหน่วยงานนโยบายและกำหนด มาตรฐานข้อมูลสุขภาพกลางของประเทศ


มาตรฐานนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ข้อมูลผู้ให้บริการ ประวัติผู้รับบริการ ข้อมูลการบริการ ไปจนถึงมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้ประโยชน์ข้อมูล


2. จัดตั้งหน่วยงานกลาง 


จัดตั้ง National Clearing House (NCH) เป็นตัวกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่าย


จัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนเพื่อพัฒนา สมุดพกประจำตัวผู้ป่วย รวมถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ตามแนวคิด Value-Based Healthcare


3.สนับสนุนงบประมาณการเชื่อมโยงข้อมูล: สนับสนุน โครงการอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับการปรับปรุงฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ รพ.สต. และหน่วยบริการที่ยังไม่เชื่อมโยง เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพตามมาตรฐานได้


4.พัฒนากำลังคนด้านข้อมูลสุขภาพ: ร่วมกับ อว. และ สธ. พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านระบบข้อมูลสุขภาพ ผ่านระบบการศึกษาและหลักสูตรเพิ่มพูนทักษะสำหรับบุคลากรด้านสารสนเทศในทุกภาคส่วน


ยกระดับ อสม. สู่ "แนวหน้าสุขภาพ"

เราจะทำอะไร (WHAT)

ปรับภารกิจ อสม. ให้โฟกัสงาน 3 ด้านที่ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพในพื้นที่ 


การสร้างเสริมสุขภาพด้วยดิจิทัล: ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพในการสร้างเสริมสุขภาพ คัดกรองโรค และเชื่อมต่อบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)


การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค: เน้นการป้องกันโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตามบริบทของชุมชน


การป้องกันและรับมือภัยพิบัติ: เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วม โรคระบาด หรือเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในพื้นที่


โดย อสม. ทุกคนจะได้รับการอบรมฟื้นฟูทักษะและประเมินสมรรถนะทุก 3 ปี


ยกระดับ "อสม.ขั้นเชี่ยวชาญ": ยกระดับ อสม. จำนวน 100,000 คน ให้เป็น อสม.ขั้นเชี่ยวชาญ หรือแนวหน้าสุขภาพ ที่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติมจนมีรายได้เพียงพอ (ประมาณ 8,000 - 10,000 บาท/เดือน) โดยมีสาขาความเชี่ยวชาญที่ตอบโจทย์เร่งด่วน

สร้างเสริมสุขภาพอนามัยแม่และเด็ก

จำนวนเป้าหมาย: 20,000 คน

ภารกิจหลัก: ดูแลเป็นเพื่อนแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ คลอด จนกระทั่งเด็กอายุ 6 ขวบ เพื่อให้เด็กไทยมีพัฒนาการสมวัย

สร้างเสริมสุขภาพจิต

จำนวนเป้าหมาย: 40,000 คน

ภารกิจหลัก: เป็น "เพื่อนใจ" สมาชิกในชุมชน คัดกรองซึมเศร้า ลดความเสี่ยงการฆ่าตัวตาย/ยาเสพติด ลดการตีตราผู้ป่วย

สร้างเสริมและสนับสนุนงานฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์

จำนวนเป้าหมาย: 30,000 คน

ภารกิจหลัก: ช่วยนักกายภาพบำบัดดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ปรับสภาพบ้าน ช่วยเหลือคนพิการ ป้องกันภาวะเปราะบางและพิการในชุมชน

สร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ

จำนวนเป้าหมาย: 2,000 คน

ภารกิจหลัก: ให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในโรงเรียน สถานที่ทำงาน และชุมชน

สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในพื้นที่แรงงานเพื่อนบ้าน

จำนวนเป้าหมาย: 8,000 คน

ภารกิจหลัก: ให้คำแนะนำตรวจสุขภาพ/วัคซีน ช่วยสื่อสารและแปลภาษา ป้องกันโรคระบาด แนะนำสิทธิเข้าถึงบริการสุขภาพ

 

ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

1. จัดตั้งคณะทำงานและระเบียบรองรับ: จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, กองทุนสุขภาพ และกระทรวงมหาดไทย เพื่อออก ระเบียบรองรับสถานะ ค่าตอบแทน และภารกิจใหม่ ของ อสม. และแนวหน้าสุขภาพ


2. กำหนดมาตรฐานการฝึกอบรมและประเมิน:


จัดทำทีมวิทยากรประจำหลักสูตร


จัดทำระบบสอบขึ้นทะเบียน อสม.พื้นฐาน และ อสม.เชี่ยวชาญ พร้อมระบบ ต่ออายุทุก 3 ปี เพื่อประกันคุณภาพ


จัดงบประมาณฝึกทักษะ 2,300 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพและประเมินสมรรถนะ อสม. และแนวหน้าสุขภาพทุกคน


3. ระบบค่าตอบแทนแบบ Pay for Performance:


ปรับระบบค่าตอบแทนแนวหน้าสุขภาพให้มีลักษณะ จ่ายตามภาระงานจริง (Pay for Performance) โดยหน่วยบริการสุขภาพและท้องถิ่นร่วมวัดและประเมินผล


รายได้เฉลี่ย 8,000 - 10,000 บาท/เดือน ที่มาของค่าตอบแทนจะมาจากการทำสัญญาระหว่างแนวหน้าสุขภาพกับหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิโดยใช้เงินจากกองทุนสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) หรือกองทุนฟื้นฟู งบประมาณ 9,700 ล้านบาท/ปี มีระเบียบรองรับชัดเจนที่จัดทำขึ้นร่วมกันระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข


4. สร้างระบบสนับสนุนการทำงาน: อสม. และแนวหน้าสุขภาพจะทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยบริการปฐมภูมิ มีพี่เลี้ยง คู่มือการทำงาน สวัสดิการประกันความเสี่ยง ระเบียบคุ้มครองทางกฎหมาย ระบบข้อมูลดิจิทัล เพื่อให้ อสม. และแนวหน้าสุขภาพปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ


วางแผนกำลังคน ผลิตหมอให้พอต่อคนไทย

เราจะทำอะไร (WHAT)

สร้างกลไกการกำกับนโยบายกำลังคนด้านสาธารณสุข วางยุทธศาสตร์ใหม่และแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสม


ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนให้ สอดคล้องกับภาระงาน ค่าครองชีพ ความเสี่ยง และความก้าวหน้าทางอาชีพ


ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด


เพิ่มอัตรากำลังคนด้านสุขภาพให้เพียงพอ


ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)

ยกร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สำนักงานกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ 


ให้เป็นหน่วยงานถาวร ทำหน้าที่กำหนดสัดส่วนกำลังคนสุขภาพที่เหมาะสม แผนงบประมาณ แผนการผลิต ผลตอบแทน และเกณฑ์ประเมิน ตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณ


สร้างฐานข้อมูลบุคลากรทางการแพทย์ (Central Healthcare Workforce Database) เพื่อใช้ในการวางแผนและกำกับดูแลบุคลากร


สนับสนุนกฎหมายจำกัดชั่วโมงทำงานของบุคลากรสุขภาพ ไม่เกิน 60 ชม./สัปดาห์ 


หลังทำงานกะดึกหรือทำงานติดต่อกัน 24 ชม. ต้องได้หยุดงานอย่างน้อย 8 ชม. เพื่อให้มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ 


ทุกสัปดาห์ต้องมีวันหยุดเต็มวัน เว้นแต่กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน


ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนและสวัสดิการ:


เพิ่มสัดส่วนค่าตอบแทนแบบ Pay for Performance และให้เสียภาษีตามมาตรา 40(6) เช่นเดียวกับภาคเอกชน


ใช้งบพิเศษ เช่น พ.ต.ส. หรือ ฉ.11 เพื่อกระตุ้นและรักษาบุคลากรในพื้นที่ขาดแคลน และปรับเบี้ยกันดารตามอัตราเงินเฟ้อ


เพิ่มทุนการศึกษาและ/หรือเส้นทางการศึกษาต่อเฉพาะทาง สำหรับนักเรียนและแพทย์ที่ทำงานหรือจะมาทำงานในพื้นที่ที่มีความขาดแคลนบุคลากรพิเศษ โดยอาจใช้งบประมาณร่วมกันระหว่างรัฐบาลและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และหรือโรงเรียนแพทย์ในภูมิภาค


เพิ่มอัตราบรรจุข้าราชการ ลดสถานะลูกจ้างชั่วคราว และดึงแพทย์เกษียณที่ยังต้องการทำงานกลับมาในพื้นที่ท้องถิ่นและหน่วยบริการปฐมภูมิ


ลดภาระงานเอกสารและระเบียบธุรการที่ไม่จำเป็น ปรับปรุง/ลดตัวชี้วัด (KPI) ให้เหมาะสมกับภารกิจหลัก โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย


สร้างแนวหน้าสุขภาพและสนับสนุนการผลิตเฉพาะทาง:


สร้าง ทีมแนวหน้าสุขภาพ (Health Frontline) 100,000 ตำแหน่ง เพื่อกระจายภาระงานไปยังชุมชน


สนับสนุนงบประมาณการเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่ขาดแคลนและเป็นสาขายุทธศาสตร์ (เช่น เวชศาสตร์ครอบครัว, จิตแพทย์) รวมทั้งเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลตติยภูมิให้สามารถผลิตแพทย์ได้

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง