"พรรคประชาชน" ชูนโยบายแก้ระบบสาธารณสุขไทย ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หมอ-คนไข้รอดไปด้วยกัน

พรรคประชาชน เผยแพร่นโยบายด้านระบบสุขภาพผ่านเว็บไซต์ของพรรค โดยสร้างระบบสุขภาพที่เป็นธรรมและยั่งยืน "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หมอ-คนไข้รอดไปด้วยกัน และไม่ทิ้งภาระให้คนรุ่นหลัง"โดยมีรายละเอียดดังนี้
การจัดบริการสุขภาพแบบเน้นคุณค่า (value- based care)
เราจะทำอะไร (WHAT)
เปลี่ยนการจัดสรรงบประมาณ: จากการจัดสรรตาม "ปริมาณการให้บริการ" เป็นการจัดสรรตาม "ผลลัพธ์ทางสุขภาพ" ของประชาชน โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง
ใช้ระบบจ่ายเงินใหม่: นำระบบ การจ่ายเงินแบบมัดร่วมตลอดเส้นทางการดูแลรักษาโรค (Bundled Payment) และ การจ่ายเงินตามผลลัพธ์ (Outcome-Based Payment) มาใช้ เพื่อมอบรางวัล (Incentive) ให้แก่ผู้ให้บริการสุขภาพที่มีคุณภาพในการควบคุมโรคและลดภาวะแทรกซ้อน
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
พรรคประชาชนกำหนดแผนดำเนินการใน 3 ระยะ ดังนี้:
1. ระยะสั้น (1–2 ปี)
ตั้งคณะกรรมการนโยบายการจัดบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่าระดับชาติ เพื่อกำหนดเป้าหมายและกำกับดูแลนโยบายอย่างต่อเนื่อง
พัฒนาตัวชี้วัดผลลัพธ์ของโรคเรื้อรัง ทั้งผลลัพธ์ทางคลินิก (เช่น การควบคุมน้ำตาล) และผลลัพธ์ในมุมมองผู้ป่วย รวมถึงต้นทุนการจัดบริการ
นำร่องการจัดบริการสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า ในจังหวัดที่พร้อม
วิเคราะห์ "งบประมาณที่สอดคล้องผลลัพธ์" (Outcome-Based Budgeting)
2. ระยะกลาง (3–4 ปี)
ขยายเครือข่ายการจัดบริการสุขภาพแบบบูรณาการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
เปิดเผยผลลัพธ์คุณภาพของสถานพยาบาลให้ประชาชนรับทราบในระดับพื้นที่และระดับประเทศ เพื่อให้ประชาชนใช้ประกอบการตัดสินใจ
ปรับระบบจ่ายเงินของทุกกองทุนสุขภาพภาครัฐ (บัตรทอง, ประกันสังคม, ข้าราชการ) ให้ สอดคล้องกันและมุ่งเน้นการจ่ายตามคุณภาพที่ประชาชนได้รับ
ใช้ข้อมูลผลลัพธ์มาตัดสินการจัดสรรงบประมาณอย่างโปร่งใส
3. ระยะยาว (5 ปีขึ้นไป)
ใช้ระบบการจ่ายเงินแบบมุ่งเน้นคุณค่า (Value-Based Payment) เต็มรูปแบบครอบคลุมโรคสำคัญทั้งหมด
เชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพ (HIE) สมบูรณ์ทั้งประเทศ
สร้างระบบสุขภาพที่มีความยั่งยืนและขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง โดยใช้งบประมาณตามความต้องการที่พิสูจน์ได้จริง
การปฏิรูประบบสาธารณสุข กทม.
เราจะทำอะไร (WHAT)
พรรคประชาชนจะปฏิรูปเพื่อสร้างระบบสุขภาพ กทม. ที่มีเจ้าภาพชัดเจนและทำงานเป็นเครือข่าย โดยมีข้อเสนอหลักดังนี้:
1. มีเจ้าภาพชัดเจน: เปลี่ยนให้ กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นเจ้าภาพหลัก ในการดูแลสุขภาพของประชาชน โดยโอนอำนาจการบริหารจัดการงบประมาณบัตรทองทั้งหมดมาอยู่ที่ กทม.
2. ปฏิรูปงบประมาณ: กำหนดงบประมาณบัตรทองใหม่ ให้ สอดคล้องกับต้นทุนที่แตกต่างกัน ของพื้นที่ กทม. และเชื่อมโยงข้อมูลต้นทุนของการบริการทั้งเครือข่าย
3. พัฒนาเครือข่าย “คลัสเตอร์บริการเชิงพื้นที่" (Area-based Cluster) ที่เชื่อมโยงโรงพยาบาลตติยภูมิของทุกหน่วยงาน (แม่ข่าย) เข้ากับหน่วยบริการปฐมภูมิ ทั้งของรัฐและของเอกชน รวมถึงหน่วยนวัตกรรม (เครือข่าย) ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ กำหนดการรับ-ส่งต่อผู้ป่วยให้ชัดเจนว่าหน่วยบริการปฐมภูมิใดต้องจับคู่กับโรงพยาบาลใด
4. เพิ่มศักยภาพภาครัฐ: สร้างโรงพยาบาลเพิ่มในพื้นที่ขาดแคลน และ ปรับปรุง/อัพเกรด ศูนย์บริการสาธารณสุข โดยเน้นงาน ส่งเสริมป้องกันโรค (Preventive Care) และดูแลผู้ป่วยซับซ้อน (NCDs, ผู้ป่วยระยะกลาง/ระยะยาว/ระยะยาวท้าย, ผู้ป่วยจิตเวช)
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
จำเป็นต้องแก้ไขกฎหมายและการปรับกลไกการบริหารจัดการ ดังนี้:
1.แก้ไขกฎหมาย:
แก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง อำนาจคณะกรรมการ กองทุนและการจัดสรรงบ และเขตบริการสุขภาพ
แก้ไข พ.ร.บ. กทม. เรื่องอำนาจผู้ว่า หน่วยงาน และกลไกการกำกับตรวจสอบ
2.ตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการ: ตั้งคณะกรรมการของ กทม. ซึ่งมีทุกภาคส่วนร่วม เพื่อทำหน้าที่วิเคราะห์งบประมาณ กำหนดนโยบาย และกำกับดูแล
3.จัดตั้ง “คลัสเตอร์บริการเชิงพื้นที่" (Area-based Cluster):
เจรจาจัด “คลัสเตอร์บริการ” (cluster) ร่วมกับโรงพยาบาลแม่ข่ายทุกสังกัด คล้าย นพรัตน์ Model
นำร่อง 1 แห่งในปีแรก และขยายผลให้ครอบคลุม กทม. ภายใน 4 ปี (กำหนดให้ครอบคลุมประชากรคลัสเตอร์บริการละ 150,000-250,000 คน)
4.พัฒนาระบบข้อมูลและต้นทุน: เร่งทำมาตรฐานข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยและหน่วยบริการให้เสร็จสิ้น โดยศึกษาต้นทุนใหม่ให้เสร็จภายในปีงบประมาณ 2571
5.เพิ่มโรงพยาบาลรัฐ: สร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติมในพื้นที่ที่ยังมี “แม่ข่าย” ไม่เพียงพอ หรือโรงพยาบาลทุติยภูมิ โดยเพิ่มจากแผนในปัจจุบันอีก 1,700 เตียง ใช้งบประมาณ 8,500 ล้านบาท
6.สนับสนุนหน่วยบริการปฐมภูมิด้วย Outcome Base:
สนับสนุนงบประมาณเพิ่มให้หน่วยบริการปฐมภูมิ
ปรับแรงจูงใจ (Incentive) เป็นแบบ มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome Base) เพื่อให้หน่วยปฐมภูมิทำงานเชิงรุกด้านส่งเสริมป้องกันและดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง
งบลงทุน 700 ล้านบาท และงบดำเนินการเพิ่มปีละ 1,000 ล้านบาท
7.กำหนดมาตรฐานยา: ตั้งมาตรฐานการเบิกจ่ายยาของทุกหน่วยบริการให้เหมือนกัน เพื่อให้ประชาชนได้รับยามาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะเข้ารับบริการที่ใด
สร้างความเท่าเทียม 3 กองทุนสุขภาพ
ปัจจุบันประเทศไทยมีระบบสุขภาพหลัก 3 กองทุน (บัตรทอง, ประกันสังคม, ข้าราชการ)
เราจะทำอะไร (WHAT)
ชั้นที่ 1: ชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน (Core Package):
กำหนดชุดสิทธิประโยชน์มาตรฐาน ที่จำเป็นในการรักษาและป้องกันโรค ทุกกองทุนต้องให้ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานนี้
เช่น รักษาโรคร้ายแรง, ทันตกรรม, การแพทย์ฉุกเฉิน, ฟื้นฟูสมรรถภาพ
ชั้นที่ 2: ส่วนเสริมโดยนายจ้าง (Top Up): กำหนดชุดสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่หน่วยงานรัฐ (กรมบัญชีกลาง) ในฐานะนายจ้างของข้าราชการ หรือสำนักงานประกันสังคม จ่ายสมทบเพิ่มให้เป็นสวัสดิการ
ชั้นที่ 3: ส่วนเสริมส่วนบุคคล (Private Insurance): ประชาชนซื้อประกันสุขภาพเอกชนเพิ่มเติมเอง สำหรับความต้องการพิเศษที่เกินกว่าสิทธิพื้นฐาน
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
เพื่อให้เกิดชุดสิทธิประโยชน์ทางสุขภาพที่เป็นมาตรฐานเดียวกันและการบริหารจัดการที่โปร่งใส พรรคประชาชนมีแนวทางดำเนินการดังนี้
1. ตั้งคณะกรรมการกำหนดมาตรฐาน:
ปรับปรุง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เพื่อจัดตั้ง คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานชุดสิทธิประโยชน์สุขภาพขั้นพื้นฐาน
โดยมีตัวแทนจากทั้ง 3 กองทุน ผู้ให้บริการ ฝ่ายวิชาการ และภาคประชาชน
2. จัดตั้ง National Clearing House (NCH):
เป็น หน่วยงานกลางจัดการข้อมูลและธุรกรรมการเบิกจ่ายเงิน เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูลเดียว และตรวจสอบการเบิกจ่ายได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า
NCH จะให้ข้อมูลในการกำหนด ราคาค่าบริการสุขภาพที่เป็นธรรม สำหรับทุกโรงพยาบาลและทุกกองทุน ทำให้โรงพยาบาลได้รับค่าบริการที่สอดคล้องกับต้นทุน ไม่ต้องรีดเค้นศักยภาพหรือลดคุณภาพการบริการ
3. บริหารยาและเวชภัณฑ์ร่วมกัน: รวมการซื้อยาและเวชภัณฑ์ (Collective Purchasing) ของทั้ง 3 กองทุน เพื่อให้มีอำนาจต่อรองราคาสูงขึ้น และได้ยาคุณภาพดีในราคาที่ถูกลง
4. เปิดช่องทางประกันสุขภาพส่วนเสริม (Top-up): อนุญาตให้นายจ้างหรือบริษัทประกันเอกชนเสนอแพ็กเกจเสริมสำหรับบริการที่อยู่นอกเหนือชุดพื้นฐาน (เช่น ห้องพิเศษ ยานอกบัญชีบางประเภท การตรวจสุขภาพเพิ่ม) เพื่อความยืดหยุ่นและช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณภาครัฐ
การปฏิรูประบบบริหารจัดการของ สปสช.
เราจะทำอะไร (WHAT)
เพื่อเร่งฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบบัตรทอง พรรคประชาชนเสนอมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหารจัดการดังนี้:
เพิ่มงบประมาณที่จำเป็น: เพิ่มงบประมาณลงทุนในระบบบริการสุขภาพ โดยเฉพาะส่วน สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และการเพิ่มคุณภาพการบริการที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ เช่น รพ.สต. ศูนย์บริการสาธารณสุข
สนับสนุนการวิจัยและศึกษาต้นทุนที่แท้จริงของการจัดบริการ เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสอดคล้องกับต้นทุน โดยคำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่และโครงสร้างประชากร
สนับสนุนบริการเชิงคุณค่า (Value based healthcare): สนับสนุนบริการและการจ่ายบริการชุดสิทธิประโยชน์ เช่น การฟื้นฟูสุขภาพและการดูแลต่อเนื่อง พร้อมๆ กับการ ตัดลด สิทธิประโยชน์ที่ไม่จำเป็นหรือให้คุณค่าต่ำ
ปรับปรุงระบบการจ่ายเงินให้รวดเร็ว: ปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจสอบความถูกต้องและการเบิกค่าใช้จ่ายให้รวดเร็วใกล้เคียงการจ่ายแบบ Real Time เพื่อลดความไม่แน่นอนและการเรียกคืนค่าชดเชยบริการย้อนหลัง
สื่อสารสิทธิประโยชน์ของบัตรทองอย่างตรงไปตรงมา เพื่อปรับความคาดหวังของประชาชนให้ใกล้เคียงกับศักยภาพที่ระบบทำได้
เพิ่มความโปร่งใสและการถ่วงดุล: ปรับปรุงระบบควบคุมกำกับหลักประกันสุขภาพแห่งชาติให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้ โดย:
ปรับสัดส่วนคณะกรรมการ ให้สะท้อนผู้มีส่วนได้เสียในระบบครบทุกองค์ประกอบ
กำหนดวาระและลดบทบาทที่ทับซ้อนของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ให้กรรมการเป็นทั้งผู้กำหนดนโยบายและผู้ดำเนินงาน
เปิดเผยข้อมูลบุคคลของคณะกรรมการ ช่วยในการตรวจสอบประโยชน์ทับซ้อน และเปิดเผยข้อมูลวิชาการประกอบการตัดสินใจปรับปรุงชุดสิทธิประโยชน์
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
พรรคประชาชนจะดำเนินการผ่านการแก้ไขกฎหมายหลักและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี:
1.แก้ไข พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ:
แก้ไของค์ประกอบคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เพิ่มสัดส่วนผู้ให้บริการ ภาคประชาชน และคณะกรรมการจากพื้นที่ (อปสข.) เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการงบประมาณ
กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง และเปิดเผยข้อมูลคณะกรรมการที่อาจกระทบกับการกำหนดนโยบายสุขภาพ
2.เพิ่มงบประมาณเพื่อคุณภาพ: จัดงบประมาณเพิ่มเติมอย่างน้อย 17,000 ล้านบาท สำหรับผู้ป่วยใน (อัตราไม่ต่ำกว่า 10,000 บาทต่อ AdjRW) พร้อมเพิ่มสัดส่วนงบเพื่อ สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค และงบพัฒนาคุณภาพการบริการที่หน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ
3.วิจัยศึกษาต้นทุนการให้บริการ และประเมินผลความคุ้มค่าของชุดสิทธิประโยชน์ โดยใช้ประโยชน์จาก พ.ร.บ. ระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัล, National Clearing House และ เทคโนโลยี AI มาคำนวณต้นทุนการจัดบริการที่แม่นยำ คำนึงถึงความแตกต่างของพื้นที่และโครงสร้างประชากร
4.ยุติการประกาศเกณฑ์การจ่ายที่ให้ผลย้อนหลัง เมื่อ สปสช. กำหนดเกณฑ์การจ่ายแล้ว ให้ยึดเกณฑ์การจ่ายนั้นตลอดปีงบประมาณ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเบิกจ่าย และควรมีระบบบัฟเฟอร์รองรับกรณีคาดการณ์ค่าใช้จ่ายคลาดเคลื่อน
5.เปิดเผยข้อมูลและการมีส่วนร่วม: สนับสนุนการเปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง และการจัดทำ/ปรับปรุง/ตัดชุดสิทธิประโยชน์ โดยทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมแสดงความเห็น และมีข้อมูลวิชาการประกอบการตัดสินใจ
6.สื่อสารชุดสิทธิประโยชน์ให้ประชาชนรับทราบอย่างชัดเจนผ่านสมุดพกสุขภาพ
การพัฒนาระบบยาเพื่อประชาชน
เราจะทำอะไร (WHAT)
1.ปรับปรุงกฎหมายยา เพื่อรองรับ ระบบใบสั่งยาแห่งชาติ ที่ใช้ในทุกสถานพยาบาล ทั้งรัฐและเอกชน เพื่อให้ข้อมูลการสั่ง–จ่ายยาเชื่อมโยงกัน ช่วยส่งเสริมการใช้ยาที่สมเหตุผลและเพิ่มความปลอดภัยของประชาชน
2.ยกระดับอุตสาหกรรมยาไทย ผลักดันการผลิต ยาต้นน้ำ และลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบ สนับสนุนผู้ประกอบการให้ปรับปรุงการผลิตให้ได้มาตรฐานสากล เช่น GMP–PIC/S
3.พัฒนาระบบข้อมูลกลางด้านยา พัฒนา ศูนย์กลางข้อมูลยาแห่งชาติ (National Drug Information Center) เพื่อเป็นฐานข้อมูลกลางด้านยาตลอดห่วงโซ่ พร้อมพัฒนาและบังคับใช้ ระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์เต็มรูปแบบ (e-Prescription)
4.ส่งเสริมการใช้ยาที่สมเหตุผล และเพิ่มความปลอดภัยของประชาชน รณรงค์สร้างความรู้ความเข้าใจทั้งในฝ่ายวิชาชีพและประชาชน มีการติดตาม/วิเคราะห์เพื่อแก้ขปัญหาการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม หรือไม่สมเหตุสมผล
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
1. ปฏิรูปกฎหมายยาไทยทั้งระบบ
ปรับปรุง พ.ร.บ. ยา: เพิ่มบทบัญญัติจัดตั้ง คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ และยกระดับการควบคุมยาควบคุมพิเศษและวัตถุออกฤทธิ์ ให้จ่ายได้เฉพาะตามใบสั่งยาที่ออกโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้รับอนุญาต พร้อมกำหนดให้สถานที่จ่ายยาทุกประเภทต้องอยู่ภายใต้ใบอนุญาตขายยา เพื่อรองรับระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ระดับประเทศ
ปรับปรุง พ.ร.บ. วิชาชีพเภสัชกรรม: ให้สามารถออกข้อบังคับเพื่อกำหนด ขอบเขตงานของแต่ละวิชาชีพ ให้ชัดเจน มีมาตรฐานเดียวกันในการประเมินความรู้และทักษะของผู้ประกอบวิชาชีพทุกสาขา เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปตามหลักวิชาการและปลอดภัยต่อประชาชน
ปรับปรุง พ.ร.บ. จัดซื้อจัดจ้างฯ: ปรับปรุงกฎระเบียบการจัดซื้อจัดหาให้ ยืดหยุ่นขึ้น และเหมาะสมกับลักษณะเฉพาะของยา เพื่อให้สถานพยาบาลสามารถจัดซื้อยาได้อย่างคล่องตัวและต่อเนื่อง
2. สร้างอุตสาหกรรมยาใหม่เพื่อความมั่นคง
จัดตั้งศูนย์กลางด้านการพัฒนาและผลิตยาต้นน้ำของประเทศ เพื่อเร่งสร้างขีดความสามารถในการผลิตวัตถุดิบยา (API) และลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยกำหนด สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน สำหรับโรงงานผลิตวัตถุดิบยา
ผลักดันองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงยา
ผลักดันการวิจัยและพัฒนายา แล้วเปิดโอกาสให้เอกชนต่อยอด
เน้นการผลิตหรือจัดหาวัตถุดิบทางยาที่สำคัญ
มุ่งผลิต ยากำพร้า หรือยาจำเป็นที่เอกชนไม่ผลิต
รักษาสมดุลด้านราคาและปริมาณยาในช่วงวิกฤต
3. สร้างข้อมูลกลางด้านยาและระบบใบสั่งยาออนไลน์
จัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลยาแห่งชาติ (NDIC): กระทรวงสาธารณสุขจะจัดตั้ง ศูนย์กลางข้อมูลยาแห่งชาติ เพื่อรวบรวมและบริหารจัดการข้อมูลด้านยาทุกมิติอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนด รหัสยาแห่งชาติ (National Drug Code) และ ราคากลางยาแห่งชาติ (National Drug Reference Price) ให้เป็นมาตรฐานกลางสำหรับยาทุกชนิด
พัฒนา e-Prescription: พัฒนาและบังคับใช้ ระบบใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์กลาง (e-Prescription) ให้ครอบคลุมทุกสถานพยาบาลและร้านขายยา เพื่อให้ข้อมูลยาเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ เพิ่มความปลอดภัยในการใช้ยา และทำให้ราคายาโปร่งใส
ฟื้นด่านหน้าสุขภาพไทย
เราจะทำอะไร (WHAT)
1. ยกระดับคุณภาพบริการ: ยกระดับหน่วยปฐมภูมิให้เป็น หน่วยบริการหลักด่านแรก ของระบบสุขภาพ ที่สามารถตรวจคัดกรอง รักษา ดูแลส่งเสริมป้องกันได้อย่างมีคุณภาพ
2. เพิ่มกำลังคนเต็มที่: เพิ่มแพทย์ประจำ และบรรจุบุคลากรและสหวิชาชีพให้ปฏิบัติการได้ 70-100% ของกรอบอัตรากำลัง พร้อมเสริม แนวหน้าสุขภาพเฉพาะทาง อีก 100,000 ตำแหน่ง
3. เพิ่มงบพัฒนาโครงสร้างบริการ: โดยเฉพาะงาน ป้องกันโรค และการดูแลกลุ่มประชากรสำคัญ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ป่วย NCDs และผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง
4. วางระบบถ่ายโอนอย่างมีมาตรฐาน: วางระบบถ่ายโอน รพ.สต. ให้ครบ 80% ภายใน 4 ปี พร้อมกำหนดมาตรฐานบริการที่ชัดเจนและการประเมินคุณภาพรายปี
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
พรรคประชาชนจะดำเนินการผ่านการปฏิรูป 3 ด้านหลัก:
1. ระบบการถ่ายโอนที่ชัดเจนและไร้รอยต่อ
ปรับบทบาทสาธารณสุข สู่ "พี่เลี้ยง": กำหนด KPI ร่วม ระหว่างกระทรวงมหาดไทยและสาธารณสุข โดยเน้นตัวชี้วัดที่เน้นผลลัพธ์ (หรือ Outcome Based) ที่สอดคล้องกับปัจจัยที่กำหนดสุขภาพในพื้นที่ เพื่อให้การถ่ายโอนไม่ทำให้คุณภาพการบริการลดลง และใช้คณะกรรมการสุขภาพระดับพื้นที่เป็นกลไกกำกับติดตาม
ปรับกลไกการแบ่งเงินในพวงบริการ: ศึกษาการแบ่งงบประมาณในหน่วยบริการคู่สัญญาหลัก (Contracting Unit for Primary Care: CUP) ใหม่ โดยยึดตามภาระงานจริง พร้อมกำหนด สัดส่วนงบประมาณขั้นต่ำ ที่ต้องส่งตรงถึงหน่วยปฐมภูมิ และเปิดเผยสถิติการจัดสรรอย่างโปร่งใส เพื่อให้หน่วยบริการด่านหน้ามีศักยภาพเพียงพอ
ทั้งนี้ หน่วยบริการคู่สัญญาหลัก (CUP) มักเป็นโรงพยาบาลแม่ข่ายที่รับงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวจากรัฐมาบริหารจัดการ เปรียบเสมือน “คนถือกระเป๋าเงิน" ของพื้นที่ และกระจายเงินต่อให้หน่วยบริการปฐมภูมิในพื้นที่
อบรมทักษะบริหารจัดการ: จัดหลักสูตรอบรมทักษะการบริหารงานสาธารณสุขให้ผู้บริหารและบุคลากรของ อปท. และ รพ.สต. เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการถ่ายโอน
2. กำลังคนเพียงพอ มีเส้นทางอาชีพก้าวหน้า
เพิ่มแพทย์ประจำเครือข่าย:
สนับสนุนงบจ้างแพทย์ปฏิบัติงานประจำเครือข่าย ดูแลประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง โดยกำหนดเป้าหมายชั่วโมงการทำงานให้ครอบคลุมประชากร (Full-Time Equivalent: FTE) ในสัดส่วน 0.5 ต่อประชากร 10,000 คน (หรือเทียบเท่าแพทย์ปฏิบัติงานประจำสัปดาห์ละ 3 วัน)
ให้ รพ.สต. ขนาดใหญ่และขนาดกลางเป็นฐาน รพ.สต.ขนาดเล็กเป็นเครือข่าย
สร้างเส้นทางอาชีพแพทย์ท้องถิ่น: กำหนดเส้นทางความก้าวหน้าวิชาชีพของแพทย์ในสังกัดท้องถิ่น โดยให้แพทย์สามารถปฏิบัติงานในโรงพยาบาลระดับสูงได้บางช่วงเวลา เพื่อรักษาและพัฒนาทักษะวิชาชีพ
แก้กรอบอัตรากำลังและค่าตอบแทน: แก้กรอบอัตรากำลังของมหาดไทยเพื่อบรรจุแพทย์ในอัตราท้องถิ่นได้ พร้อมทั้งแก้ระเบียบค่าตอบแทนและระเบียบเงินบำรุง เพื่อให้บุคลากรได้รับผลตอบแทนและสวัสดิการที่เหมาะสม
จัดโครงการผลิตแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและแพทย์เพื่อชุมชน ที่เป็นสาขายุทธศาสตร์ของระบบปฐมภูมิ
อุดหนุนงบประมาณอย่างน้อย 15,000 ล้านบาท/ปี เพื่อเพิ่มกำลังคนให้เต็มกรอบ
เพิ่มกำลังคน รพ.สต. ให้เต็ม 70-100% ของกรอบ (เฉลี่ยเพิ่ม 3-5 คน/แห่ง)
พัฒนา แนวหน้าสุขภาพเฉพาะทาง 100,000 คน ได้แก่ แม่และเด็ก สุขภาพจิตการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อทำงานเชิงรุกส่งเสริมป้องกันดูแลระยะยาว รวมถึง Caregiver มืออาชีพ 70,000 คน สำหรับงาน Long Term Care
3. ยกระดับคุณภาพบริการปฐมภูมิ
ปรับ KPI สู่ Outcome Base: ลด KPI ที่ไม่จำเป็น และเพิ่มสัดส่วน KPI รวมถึงงบประมาณจาก สปสช. ที่เป็น Outcome Base โดยเฉพาะงานส่งเสริมป้องกันและดูแลโรคเรื้อรัง
ลงทุนพัฒนาโครงสร้าง: สนับสนุน งบลงทุน 20,000 ล้านบาท (1-3 ล้านบาท/รพ.สต.) เพื่อจัดหาครุภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เป็นมาตรฐาน เช่น ทันตกรรม กายภาพบำบัด Telemedicine และ Lab ขนาดเล็ก
พัฒนาระบบข้อมูลสุขภาพ: สนับสนุนงบลงทุนเพื่ออัพเกรดซอฟต์แวร์ระบบข้อมูลสุขภาพและบุคลากร IT ให้สามารถจัดเก็บและเชื่อมโยงข้อมูลเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
จัดทำต้นแบบกระบวนงานใหม่ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นโดยเฉพาะงานเอกสาร
สนับสนุนการจัดทำแอปพลิเคชันให้ประชาชนมีข้อมูลสุขภาพเพื่อวางแผนดูแลสุขภาพของตนเอง เช่น หมอพร้อม ทางรัฐ ฯลฯ
สร้างฐานข้อมูลสุขภาพคนไทยทั้งประเทศ
เราจะทำอะไร (WHAT)
พรรคประชาชนจะสร้างรากฐานข้อมูลสุขภาพดิจิทัลที่แข็งแกร่งและมีมาตรฐานเดียวกัน มีข้อเสนอหลักดังนี้:
จัดตั้งหน่วยงานกำกับ: จัดตั้ง ศูนย์ระบบข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ (National Health Data Center) เป็นหน่วยงานในการอำนวยความสะดวกและกำกับนโยบายระบบข้อมูลสุขภาพดิจิทัลของประเทศให้มีมาตรฐาน
ตั้งหน่วยงานเบิกจ่ายกลาง: จัดตั้ง National Clearing House (NCH) เพื่อสร้างเอกภาพข้อมูลธุรกรรมการเบิกจ่ายระหว่างโรงพยาบาลทุกสังกัดกับกองทุนสุขภาพ
จัดทำ สมุดพกข้อมูลสุขภาพประจำตัวประชาชน (Personal Health Record) ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงชุดข้อมูลสุขภาพของตนเองได้ผ่านแอปพลิเคชันที่คุ้นเคย (เช่น หมอพร้อม)
ปรับปรุงระบบสารสนเทศของหน่วยบริการทุกระดับครั้งใหญ่ ให้มี มาตรฐานเดียวกัน
พัฒนากำลังคนสุขภาพดิจิทัลในทุกระดับ เพื่อรองรับการบริหารจัดการและการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสุขภาพ
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
1. ออก พ.ร.บ. ระบบข้อมูลสุขภาพแห่งชาติ (National Health Data Act):
เพื่อให้สามารถจัดตั้งหน่วยงานนโยบายและกำหนด มาตรฐานข้อมูลสุขภาพกลางของประเทศ
มาตรฐานนี้จะครอบคลุมตั้งแต่ข้อมูลผู้ให้บริการ ประวัติผู้รับบริการ ข้อมูลการบริการ ไปจนถึงมาตรฐานความปลอดภัยและการใช้ประโยชน์ข้อมูล
2. จัดตั้งหน่วยงานกลาง
จัดตั้ง National Clearing House (NCH) เป็นตัวกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่าย
จัดตั้งหน่วยงานสนับสนุนเพื่อพัฒนา สมุดพกประจำตัวผู้ป่วย รวมถึงการวิจัยเพื่อพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ตามแนวคิด Value-Based Healthcare
3.สนับสนุนงบประมาณการเชื่อมโยงข้อมูล: สนับสนุน โครงการอุดหนุนเฉพาะกิจ สำหรับการปรับปรุงฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของ รพ.สต. และหน่วยบริการที่ยังไม่เชื่อมโยง เพื่อให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพตามมาตรฐานได้
4.พัฒนากำลังคนด้านข้อมูลสุขภาพ: ร่วมกับ อว. และ สธ. พัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านระบบข้อมูลสุขภาพ ผ่านระบบการศึกษาและหลักสูตรเพิ่มพูนทักษะสำหรับบุคลากรด้านสารสนเทศในทุกภาคส่วน
ยกระดับ อสม. สู่ "แนวหน้าสุขภาพ"
เราจะทำอะไร (WHAT)
ปรับภารกิจ อสม. ให้โฟกัสงาน 3 ด้านที่ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพในพื้นที่
การสร้างเสริมสุขภาพด้วยดิจิทัล: ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและอุปกรณ์ตรวจวัดสุขภาพในการสร้างเสริมสุขภาพ คัดกรองโรค และเชื่อมต่อบริการการแพทย์ทางไกล (Telemedicine)
การสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค: เน้นการป้องกันโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ตามบริบทของชุมชน
การป้องกันและรับมือภัยพิบัติ: เตรียมพร้อมรับมือน้ำท่วม โรคระบาด หรือเหตุฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในพื้นที่
โดย อสม. ทุกคนจะได้รับการอบรมฟื้นฟูทักษะและประเมินสมรรถนะทุก 3 ปี
ยกระดับ "อสม.ขั้นเชี่ยวชาญ": ยกระดับ อสม. จำนวน 100,000 คน ให้เป็น อสม.ขั้นเชี่ยวชาญ หรือแนวหน้าสุขภาพ ที่ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มเติมจนมีรายได้เพียงพอ (ประมาณ 8,000 - 10,000 บาท/เดือน) โดยมีสาขาความเชี่ยวชาญที่ตอบโจทย์เร่งด่วน
สร้างเสริมสุขภาพอนามัยแม่และเด็ก
จำนวนเป้าหมาย: 20,000 คน
ภารกิจหลัก: ดูแลเป็นเพื่อนแม่ตั้งแต่ตั้งครรภ์ คลอด จนกระทั่งเด็กอายุ 6 ขวบ เพื่อให้เด็กไทยมีพัฒนาการสมวัย
สร้างเสริมสุขภาพจิต
จำนวนเป้าหมาย: 40,000 คน
ภารกิจหลัก: เป็น "เพื่อนใจ" สมาชิกในชุมชน คัดกรองซึมเศร้า ลดความเสี่ยงการฆ่าตัวตาย/ยาเสพติด ลดการตีตราผู้ป่วย
สร้างเสริมและสนับสนุนงานฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์
จำนวนเป้าหมาย: 30,000 คน
ภารกิจหลัก: ช่วยนักกายภาพบำบัดดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยติดเตียง ปรับสภาพบ้าน ช่วยเหลือคนพิการ ป้องกันภาวะเปราะบางและพิการในชุมชน
สร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ
จำนวนเป้าหมาย: 2,000 คน
ภารกิจหลัก: ให้คำปรึกษาเรื่องท้องไม่พร้อมและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในโรงเรียน สถานที่ทำงาน และชุมชน
สร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในพื้นที่แรงงานเพื่อนบ้าน
จำนวนเป้าหมาย: 8,000 คน
ภารกิจหลัก: ให้คำแนะนำตรวจสุขภาพ/วัคซีน ช่วยสื่อสารและแปลภาษา ป้องกันโรคระบาด แนะนำสิทธิเข้าถึงบริการสุขภาพ
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
1. จัดตั้งคณะทำงานและระเบียบรองรับ: จัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, กองทุนสุขภาพ และกระทรวงมหาดไทย เพื่อออก ระเบียบรองรับสถานะ ค่าตอบแทน และภารกิจใหม่ ของ อสม. และแนวหน้าสุขภาพ
2. กำหนดมาตรฐานการฝึกอบรมและประเมิน:
จัดทำทีมวิทยากรประจำหลักสูตร
จัดทำระบบสอบขึ้นทะเบียน อสม.พื้นฐาน และ อสม.เชี่ยวชาญ พร้อมระบบ ต่ออายุทุก 3 ปี เพื่อประกันคุณภาพ
จัดงบประมาณฝึกทักษะ 2,300 ล้านบาท เพื่อพัฒนาศักยภาพและประเมินสมรรถนะ อสม. และแนวหน้าสุขภาพทุกคน
3. ระบบค่าตอบแทนแบบ Pay for Performance:
ปรับระบบค่าตอบแทนแนวหน้าสุขภาพให้มีลักษณะ จ่ายตามภาระงานจริง (Pay for Performance) โดยหน่วยบริการสุขภาพและท้องถิ่นร่วมวัดและประเมินผล
รายได้เฉลี่ย 8,000 - 10,000 บาท/เดือน ที่มาของค่าตอบแทนจะมาจากการทำสัญญาระหว่างแนวหน้าสุขภาพกับหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิโดยใช้เงินจากกองทุนสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) หรือกองทุนฟื้นฟู งบประมาณ 9,700 ล้านบาท/ปี มีระเบียบรองรับชัดเจนที่จัดทำขึ้นร่วมกันระหว่างสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข
4. สร้างระบบสนับสนุนการทำงาน: อสม. และแนวหน้าสุขภาพจะทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยบริการปฐมภูมิ มีพี่เลี้ยง คู่มือการทำงาน สวัสดิการประกันความเสี่ยง ระเบียบคุ้มครองทางกฎหมาย ระบบข้อมูลดิจิทัล เพื่อให้ อสม. และแนวหน้าสุขภาพปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
วางแผนกำลังคน ผลิตหมอให้พอต่อคนไทย
เราจะทำอะไร (WHAT)
สร้างกลไกการกำกับนโยบายกำลังคนด้านสาธารณสุข วางยุทธศาสตร์ใหม่และแผนการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่เหมาะสม
ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนให้ สอดคล้องกับภาระงาน ค่าครองชีพ ความเสี่ยง และความก้าวหน้าทางอาชีพ
ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นออกทั้งหมด
เพิ่มอัตรากำลังคนด้านสุขภาพให้เพียงพอ
ทำอย่างไรให้สำเร็จ (HOW)
ยกร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง สำนักงานกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ
ให้เป็นหน่วยงานถาวร ทำหน้าที่กำหนดสัดส่วนกำลังคนสุขภาพที่เหมาะสม แผนงบประมาณ แผนการผลิต ผลตอบแทน และเกณฑ์ประเมิน ตั้งแต่เริ่มทำงานจนถึงเกษียณ
สร้างฐานข้อมูลบุคลากรทางการแพทย์ (Central Healthcare Workforce Database) เพื่อใช้ในการวางแผนและกำกับดูแลบุคลากร
สนับสนุนกฎหมายจำกัดชั่วโมงทำงานของบุคลากรสุขภาพ ไม่เกิน 60 ชม./สัปดาห์
หลังทำงานกะดึกหรือทำงานติดต่อกัน 24 ชม. ต้องได้หยุดงานอย่างน้อย 8 ชม. เพื่อให้มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ
ทุกสัปดาห์ต้องมีวันหยุดเต็มวัน เว้นแต่กรณีฉุกเฉินเร่งด่วน
ปรับโครงสร้างค่าตอบแทนและสวัสดิการ:
เพิ่มสัดส่วนค่าตอบแทนแบบ Pay for Performance และให้เสียภาษีตามมาตรา 40(6) เช่นเดียวกับภาคเอกชน
ใช้งบพิเศษ เช่น พ.ต.ส. หรือ ฉ.11 เพื่อกระตุ้นและรักษาบุคลากรในพื้นที่ขาดแคลน และปรับเบี้ยกันดารตามอัตราเงินเฟ้อ
เพิ่มทุนการศึกษาและ/หรือเส้นทางการศึกษาต่อเฉพาะทาง สำหรับนักเรียนและแพทย์ที่ทำงานหรือจะมาทำงานในพื้นที่ที่มีความขาดแคลนบุคลากรพิเศษ โดยอาจใช้งบประมาณร่วมกันระหว่างรัฐบาลและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และหรือโรงเรียนแพทย์ในภูมิภาค
เพิ่มอัตราบรรจุข้าราชการ ลดสถานะลูกจ้างชั่วคราว และดึงแพทย์เกษียณที่ยังต้องการทำงานกลับมาในพื้นที่ท้องถิ่นและหน่วยบริการปฐมภูมิ
ลดภาระงานเอกสารและระเบียบธุรการที่ไม่จำเป็น ปรับปรุง/ลดตัวชี้วัด (KPI) ให้เหมาะสมกับภารกิจหลัก โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย
สร้างแนวหน้าสุขภาพและสนับสนุนการผลิตเฉพาะทาง:
สร้าง ทีมแนวหน้าสุขภาพ (Health Frontline) 100,000 ตำแหน่ง เพื่อกระจายภาระงานไปยังชุมชน
สนับสนุนงบประมาณการเรียนต่อเฉพาะทางในสาขาที่ขาดแคลนและเป็นสาขายุทธศาสตร์ (เช่น เวชศาสตร์ครอบครัว, จิตแพทย์) รวมทั้งเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลตติยภูมิให้สามารถผลิตแพทย์ได้
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
