ค่ายลี้ภัย VS ผู้หนีภัยร้อนมาพึ่งเย็น! สถานการณ์ชายแดนไทย เมียนมา ที่น่าจับตา
สถานการณ์ในเมียนมา การใช้กำลัง ปราบปรามประชาชนของรัฐบาลทหารที่เข้ารัฐประหารยึดอำนาจที่นำโดย นายพล มิน อ่อง หล่าย กำลังสร้างผลกระทบเพิ่มมากขึ้น การขยายแนวรบในการปราบปรามที่เข้าสู้พื้นที่กองกำลังฐานที่มั่นของ KNU เริ่มส่งผลกระทบต่อชายแดนไทย ทำให้ชาวเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงจำนวนมากหลบหนีข้ามแดนจากฝั่งเมียนมาเข้ามาในฝั่งไทย เพราะกังวลเรื่องอันตายจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมากับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) ช่วงวันที่ 27-18 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา ตอนนี้กลายเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตา
สถานการณ์การเกิดผู้ลี้ภัยสงครามวันนี้ รู้หรือไม่ ?ว่าจำนวนผู้ลี้ภัยทั่วโลกมีจำนวนเท่าไหร่ ภาพที่หลายคนนึกถึงผู้ลี้ภัยเป็นอย่างไร ? TrueID News จะพามาทำความรู้จัก ผู้ลี้ภัย อย่างเข้าใจและเรียนรู้ว่าทำไมนานาชาติ รวมทั้งประเทศไทยต้องช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์จากเหตุการปะทะ การรัฐประหารเมียนมา ด้วยกัน
ผู้ลี้ภัย ไม่ใช่ภาระ แต่คือ ผู้หนีภัย
ทั้งนี้ ผู้ลี้ภัย คือ ผู้อพยพเนื่องจากประสบความยากลำบากในชีวิต ซึ่งในเมืองไทยแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มแรกที่อยู่ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง 4 จังหวัด บริเวณชายแดนไทย - พม่า ส่วนกลุ่มที่สองคือ ผู้ลี้ภัยในเขตเมือง หรือคนที่มาขอสถานภาพผู้หรือภัยกับ UNHCR ประเทศไทย
จากข้อมูลเว็บไซต์ UNHCR ประเทศไทย ระบุตัวเลขที่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวพม่ามากกว่า 90,000 คนในค่ายผู้ลี้ภัย (พื้นที่พักพิงชั่วคราว) จำนวน 9 แห่งตามเขตชายแดนไทย-พม่า มาหลายปีแล้ว อาทิ ค่ายผู้ลี้ภัยบ้านต้นยาง จ.กาญจนบุรี และค่ายที่พักพิงชั่วคราว บ้านแม่หละ จ.ตาก ฯลฯ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้พลเมืองต่างต้องยอมทิ้งดินแดนที่เรียกว่า "บ้านเกิด" เดินทางข้ามฝั่งไทย เพื่อรักษาชีวิตให้รอด นั่นเพราะการปะทะของกองทัพพม่าและกองกำลังชนชาติกะเหรี่ยงที่มีมาอย่างยาวนาน
ล่าสุด เกิดความวุ่นวายขึ้นในพม่าอีกครั้ง เมื่อผู้นำสำคัญอย่าง อองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐของพม่า และวิน มินต์ ประธานาธิบดีพม่า และคณะถูกจับกุมตัวโดยยังไม่ทราบชะตากรรมว่าคนทั้งหมดเป็นอย่างไร โดยเหตุการนี้คือ การทำรัฐประหาร หลังพม่าเข้าสู่การเลือกตั้งครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา
ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้ อองซาน ซูจี จากพรรคพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายอีกครั้ง และสามารถครองเสียงข้างมากกว่า 396 จาก 476 ที่นั่ง
นี่เองจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดรัฐประหารเมียนมา ยึดอำนาจโดย พล.อ.มิน อ่อง หล่าย อ้างหลักของสถานการณ์ฉุกเฉิน คือ การโกงเลือกตั้ง
และการรัฐประหารเมียนมาในครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อประชาชนอย่างวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นการถูกตัดการสื่อสารทุกช่องทาง ธนาคารพม่าถูกปิด ตู้เอทีเอ็มไม่สามารถกดเงินได้ ประชาชน ผู้ประท้วงหลายร้อยถูกจับกุม ปราบปรามจนสร้างความสูญเสียชีวิตจำนวนมาก โดยเหยื่อล่าสุดคือ เด็กหญิงวัย 7 ขวบ เธอถูกยิงขณะที่กำลังนั่งบนตักของพ่อภายในบ้านของตัวเอง
เหตุการณ์ในครั้งนี้ สร้างความสะเทือนใจให้ชาวพม่าและนานาชาติต่างร่วมประณาม ประท้วงรัฐบาลทหารพม่าที่ทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยของพม่าต้องหยุดชะงัก รวมทั้งถูกจับตามองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้จะยืดเยื้อไปอีกนานเท่าไหร่
คำถามที่ตามมาคือ เมื่อประเทศพม่าถูกสั่นคลอนด้วยการปะทะ การปราบปราม สงครามระหว่างกองทัพพม่าและผู้ประท้วง ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิด "ผู้ลี้ภัย" ผู้อพยพเนื่องจากประสบความยากลำบากในชีวิต เดินทางเพื่อขอความช่วยเหลือยังประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย มากขึ้น
ส่องตัวเลขทั่วโลกมี ผู้ลี้ภัย เท่าไหร่ ?
UNHC ประเทศไทย ระบุตัวเลขว่า ทั่วโลกมีผู้ที่ถูกบังคับให้หนีจากบ้านอย่างน้อย 79.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เกือบ 26 ล้านคนเป็นผู้ลี้ภัย และเกือบครึ่งคือเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติอีกหลายล้านคนที่ไม่ได้รับการพิจารณาสถานะโดยกฎหมายจากรัฐใดว่าเป็นคนชาติของรัฐนั้น บ่อยครั้งที่พวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การศึกษา การรักษาพยาบาล การจ้างงาน หรือแม้กระทั่งเสรีภาพในการโยกย้าย ดังนั้น การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยจึงต้องเป็นความร่วมมือจากทั่วโลก
UNHCH - องค์กรนานาชาติ - รัฐบาลไทย ต่างต้องร่วมมือช่วยเหลือ ผู้ลี้ภัย
สำหรับประเทศไทยนั้น กองทัพภาค 3 ได้จัดเตรียมสถานที่รองรับ “ผู้หนีภัย” จากสถานการณ์ความไม่สงบในเมียนมา ที่จังหวัดตาก ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ทั้งหมด 10 จุด พื้นที่พักรอ 23 แห่งใน 5 อำเภอ เพื่อรอการผลักดันกลับประเทศเมื่อสงบ
ขณะที่ การคัดแยกผู้ลี้ภัยเมียนมา จะจำแนกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มที่หลบหนีเข้ามาเพื่อรักษาตัวเองจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 กระทรวงสาธารณสุขจะเข้าไปดูแลในส่วนนี้
2. กลุ่มที่ได้รับผลกระทบหลังเหตุการณ์ยึดอำนาจ ที่อาจจะมี นักการเมือง นักศึกษาที่ต่อต้านรัฐบาลหนีเข้ามา ขณะนี้อยู่ในช่วงการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่อยู่ในค่ายลี้ภัยนั้น ทุกคนร่วมกันช่วยเหลือได้ โดยเฉพาะการมองผู้ลี้ภัยเหมือนคนทั่วไป และเข้าใจว่าพวกเขาจำเป็นต้องมาในประเทศไทย หรือประเทศอื่น ๆ เพื่อหนีภัยอันตราย เมื่อสถานการณ์บ้านเกิดสงบ ผู้ลี้ภัยที่หนีร้อนมาพึ่งเย็น ต่างย่อมพร้อมใจเดินทางกลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด
ข้อมูล : UNHCR ประเทศไทย, มติชน