รีเซต

ตลาดคาดประชุม Fed มี.ค.คงดอกเบี้ย มีโอกาส 52.9% ปรับลด 0.25% เดือนมิ.ย.

ตลาดคาดประชุม Fed มี.ค.คงดอกเบี้ย มีโอกาส 52.9% ปรับลด 0.25% เดือนมิ.ย.
ทันหุ้น
11 กุมภาพันธ์ 2568 ( 14:47 )
19

 

#หุ้นต่างประเทศ #ทันหุ้น - บทวิเคราะห์ โดย บล.เอเซียพลัส

 

ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวขึ้น (S&P500 +0.67%, Dow Jones +0.38% และ Nasdaq +0.98%) โดยตลาดได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของกลุ่มเทคโนโลยีนำโดย Broadcom +4.52% Nvidia +2.87% และ Amazon +1.74%อีกทั้งตลาดยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหล็ก

 

ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงรอบครึ่งปีของ Jerome Powell ประธาน Fed ต่อสภาคองเกรสในวันนี้ Powell จะมีการกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ โดยมีกำหนดกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ (11 ก.พ.) ก่อนที่จะกล่าวต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพรุ่งนี้ (12 ก.พ.)

 

ตลาดยังคงคาดหวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน มิ.ย. โดย Fed Watch Tool ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 52.9% ที่ Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง “อย่างน้อย” 25bps ขณะที่ในการประชุมเดือน มี.ค. ตลาดคาด Fed ยังคงอัตราดอกเบี้ยเช่นเดิม โดยนักลงทุนให้น้ำหนัก 91.5% ที่ Fed จะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25 - 4.50%

 

 

หุ้นกลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมปรับตัวขึ้นแรงหลังตลาดคาดว่าหุ้นกลุ่มนี้จะได้ประโยชน์จากมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมในอัตรา 25% จากทุกประเทศของทาง Donald Trump ส่งผลให้ราคาหุ้น Cleveland Cliffs +17.9%, Century Aluminum +10.2% และ U.S. Steel +4.79%ทั้งนี้การปรับขึ้นภาษีเหล็กและอะลูนิเนียมรอบก่อนในปี 2018 ส่งผลให้ราคาเหล็กและอะลูมิเนียมในประเทศสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสูงกว่าราคาตลาดโลก จากต้นทุนการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ ต้องติดตามการประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม (Reciprocal tariffs) กับทุกประเทศคู่ค้าที่ Trump ได้กล่าวไว้ว่าจะตัดสินใจภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับจำนวนประเทศที่จะถูกปรับขึ้นภาษีและระดับอัตราภาษีนำเข้าที่จะปรับสูงขึ้น

 

ON Semiconductor (ON US) -8.21% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 และปี 2024 โดยมีรายได้และกำไรต่ำกว่าที่ตลาดคาด โดยทาง ON Semiconductor ผู้ให้บริการโซลูชันด้านพลังงานและการตรวจจับอัจฉริยะที่มุ่งเน้นตลาดยานยนต์และอุตสาหกรรม รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2024 โดยมีรายได้ $1.7 พันล้าน -14.65% YoY (ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 2.04%) และมีกำไรสุทธิต่อหุ้น (Adjusted Diluted EPS) อยู่ที่ $0.95 -24.0% (ต่ำกว่าที่ตลาด คาด 2.42%)

 

McDonald’s (MCD US) รายงานผลประกอบการไตรมาส 4 โดยมียอดขายสาขาเดิมทั่วโลกเพิ่มขึ้น 0.4% YoY ดีกว่าที่นักวิเคราะห์มองว่าจะลดลง -0.93% YoY แม้ว่ายอดขายในตลาดสหรัฐฯ จะลดลง 1.4% YoY ก็ตาม ความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากตลาดต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่นตะวันออกกลาง ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ช่วยชดเชยผลกระทบในสหรัฐฯ ได้บางส่วนบริษัทคาดว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานไว้ที่ระดับ 40% และมีแผนลงทุนขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศในปีถัดไป นอกจากนี้ McDonald’s คาดว่าในระยะยาวจะรักษาอัตรากำไรจากการดำเนินงานให้อยู่ในช่วง 40% กลางถึงสูง รวมถึงบริษัทมีแผนลงทุนระหว่าง $3-$3.2 พันล้าน โดยใช้ในการสร้างสาขาใหม่ทั้งในสหรัฐฯ และต่างประเทศ โดยตั้งเป้าขยายเครือข่ายร้านอาหารทั่วโลกจากปัจจุบันที่ 43,477 สาขา เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อน

 

- Taiwan Semiconductor Manufacturing Co. (TSM US) เปิดเผยว่ารายได้ไตรมาสแรกปี 2025 อาจอยู่ในระดับล่างของช่วงคาดการณ์ เนื่องจากแผ่นดินไหวหลายครั้งในเดือนมกราคมส่งผลกระทบต่อการผลิต โดยมูลค่าความเสียหายสุทธิหลังการเคลมประกันอยู่ที่ประมาณ $161 ล้าน แม้จะมีเหตุการณ์นี้ แต่บริษัทยังคงมั่นใจในเป้าหมายรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นตลอดปี แม้แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้สร้างความเสียหายต่อสายการผลิตของ TSMC อย่างไรก็ตาม บริษัทกำลังเร่งดำเนินการฟื้นฟูโรงงานอย่างเต็มที่เพื่อลดผลกระทบต่อรายได้ในไตรมาสแรก โดยบริษัทเผยรายได้ในเดือนมกราคมยังคงเติบโต 36% YoY แตะระดับ $8.93 พันล้าน(NT$2.93 แสนล้าน) แม้จะมีความเสียหายเกิดขึ้น แต่บริษัทยังคงคาดว่าจะทำได้ตามเป้าตามขอบล่างของรายได้ที่เคยคาดไว้ในช่วง $2.5 ถึง $2.58 หมื่นล้าน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะอยู่ระหว่าง 57%-59%

ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มอง TSMC ยังคงมีแนวโน้มเติบโตที่แข็งแกร่ง แม้จะได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวในเดือนมกราคม บริษัทสามารถรักษารายได้เดือนมกราคมให้เติบโต 36% YoY และมีแนวโน้มรายได้ไตรมาสแรกที่สอดคล้องกับคาดการณ์เดิม ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต อาทิ ความต้องการชิป AI ที่เพิ่มขึ้น จากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Microsoft, Google, Meta และ Amazon ลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI ซึ่งต้องการชิปประมวลผลขั้นสูงจาก TSMC และ เทคโนโลยี 2 นาโนเมตร ซึ่งบริษัทวางแผนเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ของชิปขนาด 2 นาโนเมตรในครึ่งหลังของปี 2025 โดยชิปนี้มีจุดเด่นด้านประสิทธิภาพที่สูงขึ้นและการใช้พลังงานที่ลดลง ซึ่งจะเสริมความสามารถในการแข่งขันของ TSMC ในตลาด

]

- Vehicle Intelligence Strategy ซึ่งเป็น Event ของทาง BYD เมื่อวานนี้ โดยทาง Wang Chuanfu ซึ่งเป็น CEO ของทางบริษัทได้กล่าวในงานเปิดตัวกลยุทธ์ระบบอัจฉริยะที่สำนักงานใหญ่ของบริษัท พร้อมแนะนำระบบขับขี่อัจฉริยะรุ่นใหม่ล่าสุด God’s Eye ที่คล้ายกับฟีเจอร์ FSD ของ Tesla ซึ่งจะติดตั้งมากับรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัททั้งรุ่นราคาแพงและรุ่นราคาถูก เพื่อต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบขับขี่อัจฉริยะที่ให้ความปลอดภัยและความสะดวกสบายโดยจะมีการติดตั้งในรถยนต์ราคา 70,000 หยวนขึ้นไป ซึ่งก่อนหน้านี้ BYD จะติดตั้งระบบขับขี่อัจฉริยะไว้ในรถยนต์ที่มีราคาเริ่มต้น 200,000 หยวนขึ้นไป นอกจากนี้ ระบบขับขี่อัจฉริยะGod’s Eye จะใช้สถาปัตยกรรม Xuanji และจะมีการเชื่อมต่อกับโมเดล Deepseek R1

ทางฝ่ายกลยุทธ์ฯ มีมุมมองเชิงบวกต่อการเปิดตัวระบบขับขี่อัตโนมัติรุ่นใหม่อย่าง God’s Eye ในครั้งนี้ ซึ่งคาดว่าจะมี Demand เข้ามามากขึ้นในรถยนต์ของทาง BYD ที่มีราคาต่ำกว่า 200,000 หยวน หลังได้เพิ่มระบบขับขี่อัตโนมัติ God’s Eyeเข้าไป

 

- ฝ่ายกลยุทธ์ฯ มอง BYD ยังเป็นหนึ่งใน Top Picks หุ้นกลุ่ม EV เนื่องจาก 1) บริษัทเป็นผู้นำในด้านรถยนต์ EV 2) ยอดขายรถยนต์มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือน ม.ค. ยอดขาย EV อยู่ที่ระดับ 3.00 แสนคัน +49% YoY และ 3) Valuation ค่อนข้างถูก โดยปัจจุบันราคาหุ้นเทรดที่ระดับ P/E 17.9x (อยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ระดับ -1SD) และนักวิเคราะห์แนะนำ Buy (35 จาก 40 ราย) มีราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ HKD355.5 (ราคาล่าสุดมีUpside +7.7%) อิงจาก Bloomberg Consensus

 

- Xiaomi (1810HK) +3.06% หลังมีรายงานข่าวว่ามีแผนที่จะพัฒนาชิปของตัวเอง โดยXiaomi มีความก้าวหน้าอย่างมากในด้านการพัฒนาชิป โดยในปี 2024 บริษัทได้ผลิต System-onChip (SoC) สำหรับสมาร์ทโฟนด้วยกระบวนการ 3 นาโนเมตรสำเร็จ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาชิป นักวิเคราะห์คาดว่า การเปิดตัวชิปของตัวเองอย่างเป็นทางการจะช่วยลดต้นทุนการผลิต เพิ่มอัตรากำไร และลดการพึ่งพาซัพพลายเออร์ภายนอก สำหรับตลาดสมาร์ทโฟน Xiaomi ยังได้รับอานิสงส์จากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลจีนที่กระตุ้นยอดขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม มีรายงานข่าวว่าปัญหาด้านเทคนิคหรือการผลิตอาจทำให้กำหนดการผลิตจำนวนมากเลื่อนไปจากปี 2025เป็นปี 2026

 

- ติดตามรายงานผลประกอบการฯ ในวันนี้ อาทิCoca Cola (ตลาดคาดรายได้และ EPS -1.6% และ +5.7% YoY ตามลำดับ), Shopify (ตลาดคาดรายได้และ EPS +27.4% และ +25.0% YoY ตามลำดับ) และ Marriott International (ตลาดคาดรายได้และ EPS +4.9% และ -33.7% YoYตามลำดับ)

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง