รีเซต

ศรชล.ภาค 3 ยึดบุหรี่หนีภาษี ค่ากว่า 34 ล้านบาท จับไต้ก๋ง-ลูกเรือ ลอบขนเข้าฝั่งตรัง

ศรชล.ภาค 3 ยึดบุหรี่หนีภาษี ค่ากว่า 34 ล้านบาท จับไต้ก๋ง-ลูกเรือ ลอบขนเข้าฝั่งตรัง
ข่าวสด
24 มิถุนายน 2564 ( 21:06 )
48

 

ศรชล ภาค 3 ยึดบุหรี่หนีภาษี มูลค่ากว่า 34 ล้านบาท พร้อมไต้ก๋ง-ลูกเรือ รับจ้างลักลอบขนเข้าฝั่ง จ.ตรัง คิดค่าปรับเป็นจำนวนกว่า 686 ล้านบาท

 

 

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2564 พล.ร.ท.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3/ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล(ศรชล.) ภาค 3 สนธิกำลังกับทัพเรือภาคที่ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดกระบี่ สรรพสามิตภาค 9 สรรพสามิตพื้นที่กระบี่ ด่านศุลกากรกันตัง สถานีตำรวจน้ำตรัง และศูนย์ปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตรวจค้นจับกุมเรือบรรทุกบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีในพื้นที่ จ.ตรัง เหตุเกิดเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2564

 

 

 

 

สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีกลุ่มขบวนการค้าบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี ทำการขนส่งบุหรี่ยี่ห้อ JOHN BLACK จำนวน 1,900 ลัง ซึ่งมีต้นทางมาจากต่างประเทศ โดยสำแดงว่าเป็นการส่งออกไปยังประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่สาม โดยแจ้งขออนุญาตส่งออก ณ ท่าเรือ K.T.C. ต.ไสไทย อ.เมือง จ.กระบี่ โดยเรือสินค้าชื่อ เดโช คาร์โก้ 89

 

 

 

 

 

 

เมื่อเรือออกจากท่าเรือและผ่านปากร่องน้ำกระบี่ แล้วมุ่งหน้าไปทางเกาะลันตา และแล่นเข้าไปจอดยังบริเวณเกาะแหวน ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ในเวลาประมาณ 22.30 น. โดยมีเรือสปีดโบ๊ต จำนวน 2 ลำ มารับบุหรี่ตามที่แจ้งไว้นั้น รวมทั้งยังมีเรือสปีดโบ๊ตอีก 2 ลำ และเรือหางยาว ทำหน้าที่คอยเฝ้า และขับแล่นตรวจการณ์การลำเลียงบุหรี่กลับขึ้นฝั่งจังหวัดตรังด้วย

 

 

 

 

เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนสะกดรอยติดตามเรือเดโช คาร์โก้ 89 ที่แล่นกลับเข้าฝั่งไทย ผ่านปากร่องน้ำกันตัง ช่วง อ.กันตัง และอ.ย่านตาขาว จ.ตรัง กระทั่งต่อมาสามารถตรวจค้นและจับกุมเรือดังกล่าวได้ บริเวณร่องน้ำในพื้นที่ ต.ทุ่งกระบือ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง พร้อมผู้ต้องหา รวม 2 คน เป็นไต้ก๋งเรือ และลูกเรือ ซึ่งเป็นผู้รับจ้างขน แต่มีลูกเรืออีก 2 คน สามารถหลบหนีไปได้

 

 

สำหรับบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีตามใบอนุญาตส่งออกและใบกำกับการขนย้ายสินค้าดังกล่าว เป็นเครือข่ายที่ลักลอบกระทำความผิดมาเป็นเวลานาน ซึ่งเจ้าพนักงานสรรพสามิตคิดคำนวณเป็นมูลค่าภาษีที่รัฐต้องสูญเสียรายได้จำนวน 34,308,300 บาท และคำนวณเป็นเงินค่าปรับจำนวน 686,166,000บาท

 

 

ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในบัญชีท้ายประกาศ กคพ.(ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ตามบัญชีท้าย ข้อ 11 และข้อ 12 ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะรวบรวมข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน เตรียมเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อมีคำสั่งให้ทำการสอบสวนกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง