#เคลียร์ใจ ธปท.แจง S&P หั่นเครดิต 4 แบงก์ไทย คอนเฟิร์มฐานะการเงินแกร่ง
ข่าววันนี้ สำนักข่าว "ทันหุ้น" รายงานว่า แบงก์ชาติชี้แจงกรณี S&P ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ 4 ธนาคารพาณิชย์ไทยยืนยันฐานะการเงินแกร่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า S&P Global Rating ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารไทย 4 แห่ง คือ SCB (BBB+ เป็น BBB), KBANK (BBB+ เป็น BBB), KTB (BBB เป็น BBB-) และ TTB (BBB เป็น BBB-) แต่ยังคงอันดับเครดิต BBL และ BAY ไว้ที่ BBB+
ทั้งนี้การปรับลดเครดิตดังกล่าวส่งผลกดดันต่อราคาหุ้น 4 แบงก์ปรับตัวลดลงเช่นกัน
โดย SCB ปิดการซื้อขายวันนี้(22 มี.ค.65) ลดลง -1.50 บาท แตะ 113 บาท
KBANK ปิดการซื้อขายวันนี้(22 มี.ค.65) ลดลง -0.50 บาท แตะ 158 บาท
KTB ปิดการซื้อขายวันนี้(22 มี.ค.65) ลดลง - บาท แตะ 13.50 บาท
TTB ปิดการซื้อขายวันนี้(22 มี.ค.65) ลดลง -0.02 บาท แตะ 1.29 บาท
ขณะที่ หุ้นที่ยังคงเครดิต อย่าง BBL ปิดการซื้อขายวันนี้(22 มี.ค.65) เพิ่มขึ้น 1 บาท แตะ 136 บาท
และ BAY ปิดการซื้อขายวันนี้(22 มี.ค.65) เพิ่มขึ้น 0.25 บาท แตะ 35 บาท
นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารพาณิชย์ไทย (ธพ.) 4 แห่ง และคงความน่าเชื่อถือไว้ 2 แห่ง ด้วยมีมุมมองว่าหนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งกฎเกณฑ์ของทางการเอื้อให้การช่วยเหลือลูกหนี้ของไทยทำได้มากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้มีลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือจำนวนมาก นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังเปราะบาง โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวจากสถานการณ์โควิดที่ยืดเยื้อ และอาจได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งอาจส่งผลต่อคุณภาพสินเชื่อในอนาคต อย่างไรก็ดี S&P จัดให้ ธพ. ทั้ง 4 แห่ง มีแนวโน้มของอันดับความน่าเชื่อถือคงที่ (stable outlook) เนื่องจากยังมีความแข็งแกร่งด้านเงินกองทุน และมีเงินสำรองในระดับสูง
โดยชี้แจงว่า ในการแก้ไขปัญหาจากสถานการณ์ที่รุนแรงและยืดเยื้อ รวมทั้งการฟื้นตัวที่ยังไม่เท่าเทียม ธปท. มีมาตรการสนับสนุนให้ ธพ. ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างตรงจุดและเหมาะสมกับสถานการณ์มาต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการดำเนินนโยบายเชิงผ่อนคลาย (countercyclical) ที่เหมาะกับบริบทของไทย และไม่ต่างไปจากแนวทางประเทศต่างๆ โดยจะเห็นได้ว่า ลูกหนี้ภายใต้มาตรการช่วยเหลือปรับลดลงจากที่เคยสูงสุดที่ร้อยละ 30 ของสินเชื่อ ธพ. (ไม่รวม interbank) ในเดือนกรกฎาคม 2563 มาอยู่ที่ร้อยละ 14 ณ สิ้นปี 2564 และส่วนใหญ่ของลูกหนี้ที่ออกจากมาตรการไปแล้วสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ
ขณะเดียวกัน เพื่อรักษาสมดุลให้การช่วยเหลือลูกหนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของ ธพ. และเสถียรภาพการเงิน ธปท. ได้ติดตามความเสี่ยง คุณภาพสินเชื่อ และฐานะของ ธพ. อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ระบบ ธพ. ยังทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยล่าสุด ฐานะการเงินของระบบ ธพ. ไทยยังแข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS ratio) อยู่ที่ร้อยละ 20 โดยระหว่างปี 2563-2564 ธพ. ได้กันสำรองเพิ่มเติม 4.3 แสนล้านบาท สะท้อนความระมัดระวังของ ธพ. ภายใต้สถานการณ์ความเสี่ยงสูงข้างต้น ซึ่งปัจจุบัน เงินสำรองของระบบ ธพ. อยู่ที่ 8.9 แสนล้านบาท คิดเป็นกว่า 1.6 เท่าของสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL coverage ratio)
นอกจากนี้ ธปท. ได้ทดสอบระดับเงินกองทุนของ ธพ. (ระหว่างปี 2564-2566) ภายใต้ภาวะวิกฤต (stress test) มาอย่างต่อเนื่อง พบว่าระบบ ธพ. ยังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนสูงในอนาคต ในระยะต่อไป คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยให้รายได้และ ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ รวมถึงคุณภาพสินเชื่อของ ธพ. ปรับดีขึ้นเป็นลำดับ