คลัง-ธปท.พร้อมประสานนโยบายดูแลเศรษฐกิจ-แก้วิกฤตน้ำท่วม

#ทันหุ้น คลัง-ธปท.พร้อมประสานนโยบายดูแลเศรษฐกิจ-แก้วิกฤตน้ำท่วม “วิทัย”ยันธปท.เป็นอิสระในการดำเนินนโยบาย ประเมินน้ำท่วมกระทบจีดีพีไม่ถึง 0.2% ขณะที่ รัฐบาลเร่งคลอดมาตรการเยียวยาประชาชน-ภาคธุรกิจผ่านการพักหนี้-สินเชื่อดอกเบี้ย 0%
ในงานสัมมนาสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์วานนี้(1ธ.ค.)นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และนายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ”คู่หูเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตสู่ความยั่งยืน” (Fiscal-Monetary Synergy in Sight) ซึ่งระบุว่า ทั้งสองหน่วยงานพร้อมประสานการดำเนินนโยบายด้านการคลังและการเงิน เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและร่วมมือช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตน้ำท่วมภาคใต้
นายเอกนิติกล่าวว่า แม้ว่า ปัญหาน้ำท่วมภาคใต้จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจในระดับมหภาคเพียงเล็กน้อย แต่ในแง่ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนั้น ถือว่า กระทบมาก เพราะทรัพย์สินเสียหายมาก ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงประสานธปท.และคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน เข้าร่วมฟื้นฟูเพื่อเยียวยาชีวิตของประชาชนและภาคเอกชนในพื้นที่ดังกล่าว
“ในการประชุมครม.เศรษฐกิจวันนี้ กระทรวงการคลังจะเสนอนโยบายเพื่อเติมออกซิเจนให้กับ ประชาชนซึ่งเราจะดูแลเรื่องภาระหนี้สิน จะมีการพักหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย โดยเชิญคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน3 สถาบัน (กกร.) สมาคมธนาคารไทย เข้าร่วม เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเสริมสภาพคล่องในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น อัตราดอกเบี้ย 0% นาน 12 เดือน เป็นต้น”
ส่วนโครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 นั้น ขอดูก่อนว่าจะใช้งบประมาณจากแหล่งใด เพราะงบประมาณกลางจากปี 2569 จะต้องนำมาช่วยน้ำท่วม ซึ่งต้องขอดูภาพรวมก่อน
ด้านผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า เราประเมินว่าน้ำท่วมภาคใต้จะกระทบภาพรวมเศรษฐกิจเพียง 0.1-0.2% เท่านั้น แต่ต้องเข้าไปช่วยฟื้นฟูชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ โดย ธปท. และสมาคมธนาคารไทยได้ประชุมร่วมกันต่อเนื่องเรื่องมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม ซึ่งสถาบันการเงินสนับสนุนอยู่แล้ว ซึ่งภายหลังจากการประชุมครม.เศรษฐกิจวันนี้จะมีแพ็คเกจเพิ่มเติมซึ่งจะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ของสถาบันการเงิน
“ยืนยันว่าแบงก์พาณิชย์ช่วยแน่นอน แต่อยู่ระหว่างเก็บรายละเอียด และหามาตรการที่เหมาะสมกับลูกค้าในทุกๆ กลุ่ม ซึ่งแบงก์พาณิชย์มีโอกาสจะเห็นดอกเบี้ย 0%“
ทั้งนี้ สำหรับการจัดหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) อาจจะได้เห็นฝั่งของธนาคารออมสินเป็นผู้ดำเนินการ โดยสามารถออกได้ ส่วนของแบงก์ชาติจะต้องออกผ่าน พ.ร.ก. หรือพระราชกำหนด ซึ่งขณะนี้อาจติดปัญหาทางการเมืองที่มีข้อจำกัดในการออก พ.ร.ก. ว่าสามารถทำได้หรือไม่
ผู้ว่าธปท.กล่าวถึงการประสานการทำงานกับกระทรวงการคลังด้วยว่า แม้ว่านโยบายการเงินยังคงมีความเป็นอิสระ แต่ก็ต้องมีการเสริมบทบาทใหม่ เพราะนโยบายการเงินไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ทั้งหมด โดยธปท.จะมุ่งเน้นการใกล้ชิดกับปัญหาและสังคมมากขึ้น เพื่อลบภาพลักษณ์ของ"หอคอยงาช้าง" ของแบงก์ชาติในอดีต
“แม้ว่าแบงก์ชาติจะต้องมีอิสระในการตัดสินใจเรื่องนโยบาย แต่กฎหมายได้ระบุไว้ชัดเจนว่า เป้าหมายหลักคือการดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจและการควบคุมอัตราเงินเฟ้อเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็ต้องคำนึงถึงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย”
เขาระบุว่า ธปท.จำเป็นต้องปรับบทบาทจากผู้ดูแลเสถียรภาพและผู้ที่คอยวิเคราะห์ปัญหาไปสู่การเป็นผู้นำในการเข้ามากู้ปัญหาเศรษฐกิจมหภาคและเชิงโครงสร้าง เนื่องจากบริบททางเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปอย่างมาก และเครื่องมือนโยบายการเงินแบบเดิมมีข้อจำกัดในการแก้ไขปัญหาในปัจจุบัน
“เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญสถานการณ์ที่ไม่เหมือนเดิม โดยมีการเติบโตที่ช้าลงอย่างมาก จากที่เคยโต3-4% แต่ปัจจุบันคาดว่าจะอยู่ที่ 2% หรือต่ำกว่านั้น ปัญหาที่กดดันเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง คือ การที่ประชาชนมีรายได้น้อยกว่ารายจ่ายติดต่อกันมาหลายปี และยังมีปัญหารุมเร้าหลายด้าน ทั้งหนี้ครัวเรือนประชากรสูงวัย การเมืองไม่นิ่ง และความสามารถในการแข่งขันระยะยาว เป็นต้น”
เขากล่าวว่า ข้อจำกัดของดอกเบี้ยนโยบาย นโยบายการเงินและการลดดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือหลักที่มีผลในวงกว้าง แต่ไม่สามารถเป็นนโยบายที่ใช้แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างหรือปัญหาเป็นจุดๆ ได้จะเห็นว่า แม้จะมีการลดดอกเบี้ยไปแล้ว 0.25% ถึง 4 ครั้ง แต่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ 0.2% เท่านั้น สาเหตุหลักคือปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องการบริโภค แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง หาก ธปท. ยังคงใช้เพียงดอกเบี้ยนโยบายอย่างเดียว จะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจน้อยมาก
“ถึงแม้ว่าการลดดอกเบี้ยจะยังมีผลช่วยเรื่องสภาพคล่อง และทำให้ผู้คนสามารถจ่ายหนี้ได้ แต่ในภาพรวมการพึ่งพานโยบายการเงินอย่างเดียวจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อในปีนี้ คาดว่าจะติดลบอยู่ที่ -0.1% หากมีการลดดอกเบี้ย 0.5% ในทันที อาจจะช่วยประคองอัตราเงินเฟ้อปีหน้าได้เพียงประมาณ 0.1% ซึ่งถือว่าน้อยมาก”
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
