รีเซต

”พิชัย”เตรียม 5 แสนล้านรับมือวิกฤตนโยบายทรัมป์

”พิชัย”เตรียม 5 แสนล้านรับมือวิกฤตนโยบายทรัมป์
ทันหุ้น
23 เมษายน 2568 ( 17:38 )
10

 

”พิชัย”เตรียม 5 แสนล้านรับมือวิกฤตนโยบายทรัมป์ ตั้งเป้าดันบริโภคและลงทุนในประเทศ ระบุ หากรัฐเลือกกู้ 5 แสนล้าน จะกระทบหนี้สาธารณะเพิ่ม 3%

 

#ทันหุ้น นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ ัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเปิดเผยถึงกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับลดจีดีพีไทยปี 68 จาก 2.9% เหลือ 1.8%โดยมองว่า เป็นการประเมินเบื้องต้น ซึ่งของจริงยังไม่รู้ว่าลดเท่าไร  แต่ไม่น่าถึงขนาดนั้น เพราะว่าสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่แน่นอนและมีการเปลี่ยนแปลงตลอด แต่ยอมรับว่าอาจมีผลกระทบบ้าง ซึ่งรัฐบาลมีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมออกมาตรการมาดูแลกระตุ้นเศรษฐกิจ ชดเชยส่วนจีดีพีที่จะลดลงไปเพื่อรักษาให้เติบโตได้ในระดับเดิมได้

 

ทั้งนี้ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ จะต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะทำให้เกิดแรงขับเคลื่อน ซึ่งส่วนตัวมองว่าน่าจะต้องใช้เม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 500,000 ล้านบาท ซึ่งจะโฟกัสไปเรื่องในประเทศ ซึ่งจะดูทั้งการกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนในประเทศ ตลอดจนซอฟท์โลน ส่วนที่มาของแหล่งเงินจะต้องดูเพราะมีหลายทางโดยขณะนี้ก็ได้มีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสภาพัฒน์รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างใกล้ชิด

 

ส่วนผลกระทบต่อภาระหนี้สาธารณะนั้น ไม่อยากให้มองเรื่องหนี้ เพราะหลายหลายประเทศก็มีหนี้สูงกว่าแต่สิ่งสำคัญคือหากมีการใช้เงินมาจะนำมาใช้ทำอะไร ซึ่งถ้าสามารถทำให้ขนาดเศรษฐกิจเติบโตขยายตัวได้กว่าเดิมก็จะทำให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีปรับลดลงได้

 

”หากรัฐเลือกกู้ 5 แสนล้าน ก็กระทบหนี้สาธารณะเพิ่ม 3% เศษ โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะเราอยู่ที่64.21%“

 

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าตอนนี้ฐานะการคลังไทยยังเข้มแข็งส่วนที่รัฐบาลมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่กว่า 500,000 ล้านบาทปีนี้นั้น ก็ต้องดูว่าจะเข้ามาทำในส่วนไหน ซึ่งมองว่าเรื่องการกระตุ้นการบริโภคก็จะเกิดผลได้ไว แต่เรื่องการลงทุนก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำที่ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

 

สำหรับแหล่งเงินที่มาตอนนี้ยังไม่สรุปว่าจะเป็นการกู้หรือไม่เพราะสามารถทำได้จากหลายวิธีทั้งการเกลี่ยงบประมาณ รวมถึงงบกระตุ้นเศรษฐกิจ 150,000 ล้านบาท ที่มีเหลืออยู่ก็ต้องดู ตลอดจนสามารถนำเงินสถาบันการเงินของรัฐเข้ามาปล่อยสินเชื่อเพื่อเติมเงินเข้าเศรษฐกิจได้อีกทาง  ซึ่งหลังจากนี้จะต้องรอดูการสรุปโครงการซึ่งน่าจะมีความชัดเจนในเดือนหน้า ตลอดจนสถานการณ์เศรษฐกิจโลกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรอีกหรือไม่

 

ส่วนการขยายเพดานหนี้เป็น 75-80% นั้นมองว่าเรื่องเพดานหนี้ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะหลายประเทศก็มีหนี้สูงถึง 80% หรือ  100% ก็ยังทำได้ แต่สิ่งสำคัญคือการกู้เงินมาจะมาทำอะไร รวมถึงดูเรื่องความสามารถในการชำระหนี้คืนด้วย

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง