“เมลิสซา” พายุแห่งศตวรรษ ผลจากโลกร้อนเพิ่มพลังทำลายล้าง จนมนุษย์ต้านไม่ไหวแล้ว

พายุเฮอริเคน “เมลิสซา” ที่พัดถล่มประเทศจาเมกาในเดือนตุลาคม 2568 เป็นตัวอย่างของความรุนแรงที่เกิดจากภาวะโลกร้อน นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลกกำลังทำให้พายุรุนแรงขึ้น ฝนตกหนักขึ้น ลมแรงขึ้น และเคลื่อนตัวช้าลง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่เดิมเป็นเวลานาน
นักวิจัยชี้ว่า มหาสมุทรทำหน้าที่ดูดซับความร้อนที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจกมากถึง 90% ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ความร้อนที่สะสมใกล้ผิวน้ำทำให้พายุได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น ลมพัดแรงขึ้น และฝนตกหนักขึ้น
ระหว่างฤดูพายุแอตแลนติกปี 2563 ซึ่งถือเป็นฤดูกาลพายุที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง การศึกษาในวารสาร Nature Communications เดือนเมษายน 2565 พบว่าภาวะโลกร้อนเพิ่มปริมาณฝนต่อชั่วโมงในพายุเฮอริเคนรุนแรงประมาณ 8–11%
ขณะนี้โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นแล้วกว่า 1.1 องศาเซลเซียสเหนือค่าเฉลี่ยก่อนยุคอุตสาหกรรม นักวิทยาศาสตร์จาก NOAA สหรัฐอเมริกาประเมินว่า หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 องศาเซลเซียส ความเร็วลมของพายุเฮอริเคนอาจเพิ่มขึ้นได้อีกประมาณ 10% และสัดส่วนของพายุระดับรุนแรงที่สุด (ระดับ 4–5) จะสูงขึ้นประมาณ 10% ในศตวรรษนี้
ภาวะโลกร้อนยังทำให้ฤดูกาลพายุเปลี่ยนแปลง โดยพายุเฮอริเคนเกิดขึ้นในช่วงเดือนอื่น ๆ ของปีมากขึ้น และพายุมีแนวโน้มขึ้นฝั่งในพื้นที่ไกลจากเส้นทางเดิมมากขึ้น ในสหรัฐฯ รัฐฟลอริดายังคงเป็นพื้นที่ที่พายุขึ้นฝั่งบ่อยที่สุด โดยตั้งแต่ปี 1851 มีพายุขึ้นฝั่งโดยตรงกว่า 120 ครั้ง แต่ในช่วงหลัง พายุรุนแรงหลายลูกเริ่มขึ้นฝั่งทางเหนือมากขึ้น
นักวิทยาศาสตร์บรรยากาศ อลิสัน วิง จากมหาวิทยาลัยฟลอริดา ระบุว่า “เมืองในเขตละติจูดกลาง เช่น นิวยอร์ก บอสตัน ปักกิ่ง และโตเกียว อาจไม่พร้อมรับมือพายุรุนแรง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานไม่ได้ออกแบบมาสำหรับสภาพอากาศเช่นนี้” แม้แต่พายุแซนดี้ที่ขึ้นฝั่งสหรัฐฯ ระดับ 1 ก็สร้างความเสียหายสูงถึง 81,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3 ล้านล้านบาทไทย) เมื่อปี 2555
โดยปกติฤดูกาลพายุเฮอริเคนในอเมริกาเหนืออยู่ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงพฤศจิกายน และมีความรุนแรงสูงสุดในเดือนกันยายน แต่ปัจจุบัน พายุชื่อแรกของฤดูกาลขึ้นฝั่งเร็วขึ้นกว่าเดิมมากกว่า 3 สัปดาห์ ทำให้ฤดูกาลเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคม และในอ่าวเบงกอลของเอเชีย ก็มีแนวโน้มแบบนั้นเช่นกัน ตั้งแต่ปี 2556 พายุไซโคลนเริ่มเกิดก่อนฤดูมรสุมในเดือนเมษายน–พฤษภาคมแล้ว
ส่วนคำถามที่ว่า พายุก่อตัวได้อย่างไร? พายุต้องการสองสิ่งหลักคือ น้ำทะเลอุ่นและอากาศชื้น เมื่อน้ำทะเลอุ่นระเหย ความร้อนจากน้ำจะถูกส่งขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ลมพัดแรงขึ้นและพายุมีพลังมากขึ้น หากขาดสิ่งนี้ พายุจะอ่อนแรงและสลายตัว
สำหรับชื่อเรียก พายุที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรแอตแลนติก หรือแปซิฟิกกลางและตะวันออก เรียกว่า “เฮอริเคน” เมื่อความเร็วลมถึง 119 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (74 ไมล์ต่อชั่วโมง) ส่วนในเอเชียตะวันออก พายุลมหมุนรุนแรงเรียกว่า “ไต้ฝุ่น” และในมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกใต้ เรียกว่า “ไซโคลน”
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า พายุเฮอริเคนเมลิสซา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของปรากฏการณ์นี้ ลมแรง ฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่มที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อนที่เพิ่มความรุนแรงให้พายุมากขึ้น
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
