เพิ่มสิทธิ์บัตรทอง! บิ๊กตู่ ชูนโยบาย ยูเซ็ป ลดเหลื่อมล้ำรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
บิ๊กตู่ บอกความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ ชูนโยบาย ยูเซ็ป ลดความเหลื่อมล้ำรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน ย้ำบัตรทองเข้าใช้บริการสถานพยาบาลของสธ.ได้ทุกแห่งทั่วประเทศ
เมื่อเวลา 08.45 น. วันที่ 4 เม.ย.2565 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นานกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กว่า ความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนชาวไทย จึงถือเป็นเป้าหมายอันดับแรกของรัฐบาล ที่ต้องมุ่งเน้นการป้องกันและส่งเสริมการรักษาสุขอนามัยในทุกช่วงวัย พร้อมเตรียมสวัสดิการเพื่อการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างสะดวกและทั่วถึง
ล่าสุด ผู้ที่ถือบัตรทอง หรือใช้สิทธิ์หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สามารถเข้าใช้บริการหน่วยบริการปฐมภูมิของกระทรวงสาธารณสุขได้ทุกแห่งทั่วประเทศ ไม่ว่าสถานีอนามัย ศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) โรงพยาบาลประจำอำเภอ โรงพยาบาลประจำจังหวัด
สำหรับพื้นที่กรุงเทพฯ สามารถไปใช้บริการได้ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข และคลินิกชุมชนอบอุ่นทั่วกรุงเทพมหานคร โดยไม่ต้องมีใบส่งตัว กรณีที่มีความจำเป็นก็เข้ารับบริการจากหน่วยบริการปฐมภูมินอกเครือข่ายได้ โดยไม่ต้องมีใบส่งตัวเช่นกัน และจะไม่มีการเรียกเก็บเงินจากประชาชน แต่ให้มาเรียกเก็บเงินจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) แทน
นายกฯ กล่าวว่า ยิ่งกว่านั้น ตนได้สั่งการให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พิจารณายกระดับการให้บริการแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 2557-2565 มีการเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ๆ รวมกว่า 50 รายการ
1. เพิ่มบริการสำหรับแม่และเด็ก : การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก การเพิ่มวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (สำหรับนักเรียนหญิงชั้น ป. 5) การป้องกันโรคในหญิงตั้งครรภ์และทารก (8 รายการ) การคัดกรองภาวะ Down Syndrome ในหญิงตั้งครรภ์ (อายุไม่เกิน 35 ปี) การผ่าตัดฝังประสาทหูเทียมสำหรับเด็กหูหนวก การบริการแว่นตาเด็ก
2.เพิ่มบริการสำหรับผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบาง : การดูแลและรักษาระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในพื้นที่ การรักษาผู้ป่วยติดบ้านหรือผู้ป่วยติดเตียงในชุมชน (ทุกสิทธิและทุกกลุ่มอายุ)
3.เพิ่มการเข้าถึงบัญชียา : โรคมะเร็งเต้านมระยะเริ่มต้น โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวและต่อมน้ำเหลือง โรคติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี การป้องกันและรักษาโรคเอดส์ด้วยยาต้านไวรัส HIV รวมถึงการเพิ่มสิทธิด้านวัคซีน 5 ชนิด (คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ไวรัสตับอักเสบบี และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ) เป็นต้น
4. เพิ่มบริการ : การล้างไตผ่านเครื่องล้างไตอัตโนมัติ การบริการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ไหนก็ได้ที่พร้อม การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์) การผ่าตัดวันเดียวกลับบ้านได้ (24 รายการ) การฝังเข็มและหรือกระตุ้นไฟฟ้า (สำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือด) การใช้กัญชาทางการแพทย์ (สำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน ไมเกรน) เป็นต้น
5. ลดความแออัดในโรงพยาบาล : การรับยาที่ร้านขายยาแผนปัจจุบันใกล้บ้าน (สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หืด จิตเวช และโรคเรื้อรังอื่นๆ) การส่งยา/เวชภัณฑ์ถึงบ้านทางไปรษณีย์ การบริการสาธารณสุขระบบทางไกล (Telehealth/Telemedicine) การตรวจทางห้องปฏิบัติการนอกโรงพยาบาล เป็นต้น
อีกบริการสำคัญคือ นโยบาย เจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิ์ทุกที่หรือที่เรียกกันว่า ยูเซ็ป (UCEP : Universal Coverage for Emergency Patients) เพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต โดยได้รับการคุ้มครองสิทธิ์ในการเข้าถึงบริการอย่างปลอดภัย ไม่มีเงื่อนไขเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล ภายใน 72 ชั่วโมง หรือพ้นภาวะวิกฤต ซึ่งต่อยอดจากการบูรณาการของ 3 กองทุน ประกอบด้ววกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กองทุนประกันสังคม และกองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และในอนาคตจะขยายไปยังกองทุนต่างๆ ต่อไป
ทั้งนี้ กรณีมีผู้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สามารถโทรสายด่วน 1669 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง จากสถานการณ์วิกฤตโควิดทั่วประเทศ รัฐบาลจึงยกระดับการให้บริการเป็นยูเซ็ป พลัส (UCEP Plus) เพื่อให้ผู้ติดเชื้อ สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลใดก็ได้ และรักษาจนกว่าจะหายป่วยฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
นายกฯ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ ย่อมเป็นสิ่งยืนยันถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาล ที่จะดูแลสุขภาพของประชาชนอย่างดีที่สุด รวมทั้งยกระดับมาตรฐานและความมั่นคงด้านสาธารณสุข ให้กับประเทศไทย ที่ได้รับการชื่นชมจากทั่วโลก รวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) นำไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์และดูแลรักษาสุขภาพ (Medical & Healthcare Hub) แห่งหนึ่งของโลก และจะยังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายยุทธศาสตร์ชาติที่ได้วางไว้แล้ว โดยมีหลักยึดที่สำคัญ คือ เราจะเดินหน้าไปพร้อมกัน และ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
“คำกล่าวที่ว่าความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาสำหรับทุกคน ทุกครอบครัว ดังนั้น เพื่อเตรียมความพร้อมเทศกาลสงกรานต์ที่จะมาถึง ผมขอความร่วมมือประชาชน ไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง 608 และขอให้ผู้ที่จะเดินทางกลับภูมิลำเนา ไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่-ญาติผู้ใหญ่-ผู้สูงอายุ ได้เคร่งครัดตามมาตรการ VUCA ตามที่ ศบค.แนะนำ เพื่อให้ทุกคนปลอดโรคและเป็นสงกรานต์แห่งความสุข” นายกฯ กล่าว