SEAFCO ชิงงาน8.7พันล. ชูโครงการใหญ่ดันพอร์ต
#SEAFCO #ทันหุ้น - SEAFCO ทยอยรับแรงงานเข้ามาเพิ่ม มั่นใจ ณ สิ้นปีแตะ 400-450 คนตามกลยุทธ์บริหารแรงงานสอดคล้องกับปริมาณงานในมือที่ทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เดินหน้าชิงงานประมูลที่รอผลรวมมูลค่ากว่า 8.7 พันล้านบาท และเมกะโปรเจ็กต์ที่รัฐบาลจะทยอยเปิดประมูลในอนาคต
ดร.ณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับนโยบายการดำเนินงานให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอย่างยั้งยืน ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล หรือ ESG โดยปัจจุบันบริษัทได้ปรับเปลี่ยนสีอุปกรณ์ของบริษัทเป็นโทนสีขาว-เขียว ให้สบายตา, นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาช่วยลดผลกระทบระหว่างดำเนินงาน อาทิ อุปกรณ์ตรวจจับการสั่นสะเทือนใต้ชั้นดินระหว่างตอกเสาเข็ม เพื่อลดแรงสั่นสะเทือน ลดผลกระทบอันอาจเกิดกับอาคารโดยรอบเขตก่อสร้าง, การนำวัสดุต่างๆ มาใช้ซ้ำเพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อม รวมถึงตั้งเป้าทยอยปรับเปลี่ยนเครื่องจักร, รถยนต์ – รถบรรทุกมาใช้พลังงานไฟฟ้าในระยะ 3-5ปีในอนาคต
“วันนี้ทุกภาคส่วนในสังคมต้องร่วมมือกัน ต้องตระหนักถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม สำหรับ SEAFCO ที่เริ่มทำได้เลยคือเปลี่ยนสีไซโล และอุปกรณ์จากสีส้มซึ่งเป็นสีของบริษัทเป็นสีขาว-เขียว, นำวัสดุที่ใช้ซ้ำกลับมาใช้ซ้ำให้มากที่สุด, นำเครื่องตรวจจับแรงสั่นสะเทือนมาวัดค่าแรงสั่นสะเทือนใต้ดินระหว่างปฏิบัติงาน ควบคู่กับการทยอยปรับเปลี่ยนอุปกรณ์การดำเนินงานให้ทันสมัยมากขึ้น โดยอุปกรณ์ที่ซื้อมาทดแทนอุปกรณ์ที่ชำรุด-เสีย เป็นอุปกรณ์ที่รักษ์สิ่งแวดล้อม เครื่องจักรพลังงานน้ำมัน ก็เปลี่ยนเป็นพลังงานแบตเตอรี รวมถึงรถที่ใช้ในองค์กรทั้งหมดเป็นรถพลังงานไฟฟ้า”
ทยอยเพิ่มแรงงาน
ทั้งนี้ ณ วันที่ 22 สิงหาคม 2565 บริษัทมีงานในมือ (Backlog) ในมือทั้งสิ้น 1,284 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาคเอกชนทั้งสิ้น 956.37ล้านบาท หรือคิดเป็น 75%, และงานภาครัฐบาลทั้งสิ้น 327 ล้านบาทหรือประมาณ 25%เบื้องต้นคาดว่าจะทยอยส่งมอบภายในปี 2565 ประมาณ 400-500 ล้านบาท
โดยปัจจุบันบริษัทได้เริ่มนำเครื่องจักรเข้าพื้นที่โครงการทางพิเศษพระราม 2-บ้านแพ้ว และโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้แล้ว 3 จุดก่อสร้างสถานี และคาดว่าจะทยอยนำเครื่องจักรเข้าพื้นที่เต็ม 100%ภายในไตรมาส 4/2565
“ปัจจุบันบริษัทใช้เครื่องจักรประมาณ 30% และจะทยอยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกโครงการโดยเฉพาะโครงการพระราม2-บ้านแพ้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เครื่องจักรทั้งสิ้น 8เครื่อง ส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ณ ปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้ทำสัญญาจ้างงานอย่างเป็นทางการกับผู้ว่าจ้าง แต่ผู้ว่าจ้างได้อนุญาตให้บริษัทนำเครื่องจักรเข้าพื้นที่สถานีแล้ว 3 สถานี ซึ่งคาดว่าหลังจากลงนามสัญญาอย่างเป็นทางการ บริษัทจะสามารถนำเครื่องจักรเข้าจุดก่อสร้างสถานีได้ครบทุกสถานีภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2566”
ลุ้นผลชิงงานกว่า 8 พันล.
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ยื่นประมูลงานไปแล้ว และอยู่ระหว่างรอประกาศผลผู้ชนะการประมูลไว้รวมมูลค่าราว 8,793 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาคเอกชนราว 5,128 ล้านบาท และงานภาครัฐบาลราว 3,665 ล้านบาท เบื้องต้นมั่นใจว่าจะได้รับงานเพิ่มเข้ามาเติม Backlog อย่างต่อเนื่องในอนาคต
พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการแรงงาน ให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่จะทยอยเพิ่มเข้ามา โดย ณ ปัจจุบันบริษัทมีแรงงานทั้งสิ้นราว 250 คน และจะทยอยรับเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งไตรมาส 3-4/2565 ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2565 จะมีแรงงานทั้งสิ้น 400-450 คน
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลจะปรับขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำอีกราว 6% จาก ณ ปัจจุบันที่ราว 331 บาทต่อวันเป็นราว 354 บาทต่อวันนั้น เบื้องต้นกระทบต้นทุนการดำเนินงานของบริษัทราว 0.6% ส่วนกรณีที่ต้นทุนวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะเหล็กเส้น และปูนซีเมนต์ที่เร่งตัวขึ้น บริษัทสามารถส่งต่อต้นทุนการดำเนินงานให้กับผู้ว่าจ้างได้ อีกทั้งได้คำนวณไว้ในราคาประมูลโครงการในอนาคตด้วยแล้วบางส่วน
“เรื่องแรงงาน ณ ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นการบริหารคนให้สอดคล้องกับปริมาณงานที่มีในมือ โดย ณ ปัจจุบันบริษัทมีงานราว 1.28 พันล้านบาท แรงงานราว 250 คน และมีแผนที่จะรับเพิ่มเข้ามา ณ สิ้นปี 2565 อีกราว 400-450 คน โดยหากมีงานเพิ่มก็พร้อมที่จะรับคนเข้ามาเพิ่มเพื่อให้สอดคล้อง-เหมาะสมกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้น”
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)ระบุว่าไตรมาส 4/2565 SEAFCO มีโอกาสที่จะ Turnaround พลิกกลับมาเป็นกำไรเนื่องจากสามารถเริ่มงาน Central Embassy งานทางยกระดับพระราม2-บ้านแพ้ว และได้งานภาคเอกชนอีก 200 ล้านบาทได้เต็มไตรมาส ประเมินราคาเหมาะสม 3.96 บาท