ตลาดซูชิเดือด! "HAMA-SUSHI" เลือกไทยที่แรกในอาเซียน

HAMA-SUSHI (ฮามะ ซูชิ) เป็นแบรนด์ร้านซูชิรายใหญ่สุดแห่งหนึ่งของโลก ในเครือของ ZENSHO HOLDINGS กลุ่มธุรกิจอาหารที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินธุรกิจมานานกว่า 40 ปี ภายใต้แนวคิด Food Infrastructure หรือ โครงสร้างพื้นฐานด้านอาหาร
โดย เซนโช โฮลดิ้ง มีแบรนด์ในเครือมากกว่า 40 แบรนด์ และมีสาขาร้านอาหารรวมกันกว่า 15,419 แห่งทั่วโลก เป็นตัวเลขจากเว็บไซต์ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 และเป็นบริษัทญี่ปุ่นเพียงรายเดียวที่ติดท็อป 10 ธุรกิจอาหาร ที่มียอดขายสูงสุดของโลกอีกด้วย
สำหรับแบรนด์ในเครือของ เซนโช หนึ่งในนั้นที่คนไทยรู้จักคือ SUKIYA เป็นร้านข้าวหน้าเนื้อ ที่เข้ามาทำตลาดในไทยก่อนหน้านี้แล้ว
ส่วน ฮามะ ซูชิ ปัจจุบันมีสาขากระจายอยู่หลายประเทศทั่วโลกกว่า 790 สาขา ซึ่งส่วนใหญ่ราว 600 สาขากระจายอยู่ในญี่ปุ่น โดยมีแผนที่จะรุกขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน และเลือกเข้ามาเปิดสาขาในไทยที่แรกของอาเซียน
เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณ โทโมโยชิ นิชิจิมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซนโช (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า การตัดสินใจเลือกเปิดสาขาที่ไทยเป็นแห่งแรกในอาเซียน เพราะมองว่า ประเทศไทย มีศักยภาพด้านอาหาร และมีความน่าลงทุนมากที่สุด ประกอบกับ ไทย และญี่ปุ่น มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนาน โดยไม่มีความกังวลต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจของไทยที่กำลังชะลอตัว
นอกจากนี้ คนไทยก็ชื่นชอบทานซูชิ และอาหารญี่ปุ่นอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ยังได้ทำเลที่เหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ต้องการเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายลูกค้าคนไทยเป็นหลัก
ทั้งนี้ การเปิดสาขาในไทย มีความตั้งใจที่จะมอบประสบการณ์การกินซูชิแบบต้นตำรับแท้ ๆ เน้นคัดสรรวัตถุดิบ และยังนำเทคโยโลยีระบบเสิร์ฟตรง หรือ Straight Lane มาใช้ ซึ่งเป็นแห่งแรกในไทย ซึ่งระบบดังกล่าวถือเป็นกลยุทธ์หลักสำหรับการทำตลาดในไทย โดยเป็นการทำสดใหม่จานต่อจาน ตามออเดอร์ และเมนูอาหารที่ลูกค้าสั่ง จะส่งทางสายพาน ตรงถึงโต๊ะ เพื่อให้ทุกจานยังมีความสดใหม่ และช่วยลด food waste หรือ ขยะจากอาหาร โดยนำเสนอเมนูซูชิมากกว่า 80 เมนู รวมถึงเมนูอีกหลากหลาย และยังเพิ่มความพิเศษด้วยการนำเสนอ โชยุ 4 ชนิด เช่น โชยุดาชิสูตรพิเศษ โชยุยูซุพอนสึ (สไตล์ชิโกกุ) เพื่อสามารถเลือกจับคู่กับซูชิที่ชื่นชอบได้
ทั้งนี้ ตามข้อมูลการสำรวจร้านอาหารญี่ปุ่นในไทย ขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร เป็นข้อมูลปี 2567 พบว่ามีร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยจำนวน 5,916 ร้าน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.9 ขณะที่ร้านซูชิ มีจำนวนมากเป็นอันดับ 2 รองจากภัตตาคารอาหารญี่ปุ่น โดยมีจำนวน 1,279 ร้าน แต่มีแนวโน้มลดลง
เจโทร รายงานว่า จากการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น หลายท่านให้ความเห็นว่า หลายปีที่ผ่านมามีร้านซูชิคุณภาพดีและราคาไม่แพงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องการซูชิที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นกว่าในอดีต ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร้านซูชิที่แข่งขันกันด้านราคา และอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนร้านซูชิมีจำนวนลดน้อยลง
นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจร้านอาหารโดยรวม ยังทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งรวมถึงธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น แต่จากการสำรวจผู้ประกอบการ ยังเชื่อว่าความต้องการอาหารญี่ปุ่นในไทยจะยังมีต่อไป เพราะคนไทยคุ้นเคยกับอาหารญี่ปุ่นเป็นอย่างดี
แต่การที่นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นกันมากขึ้น ทำให้ได้รับความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มของผู้บริโภคที่ต้องการบริโภคอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม พร้อมกับค้นหาเทรนด์ใหม่ๆ ของอาหารญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นด้วย สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นและร้านซูชิ เปิดใหม่เพิ่มขึ้น และเป็นอีกสมรภูมิที่มีการแข่งขันกันรุนแรง
ซึ่งในสถานการณ์การแข่งขัน คุณ โทโมโยชิ กล่าวว่า แม้ ฮามะ ซูชิ จะมาทีหลัง แต่ไม่ได้มีความกังวลต่อคู่แข่ง แต่อย่างใด เพราะบริษัทฯ ตั้งใจที่จะทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด ส่วนการตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับผู้บริโภคว่าจะเลือกใคร โดยจะมีแผนขยายสาขาในไทยต่อเนื่องตลอดปี 2569 และเตรียมจะเปิดสาขาที่ 2 ในเดือนมกราคมนี้
ขณะที่แบรนด์ร้านซูชิจากญี่ปุ่น ที่เข้ามาในไทยก่อนหน้านี้ และกำลังขยายสาขา คือ ซูชิโร่ (Sushiro) ร้านซูชิสายพาน ที่เข้ามาเปิดสาขาแรกในไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2564 ตามข้อมูลเว็บไซต์ ซูชิโร่ รายงานว่าปัจจุบันมีสาขาทั้งหมด 40 สาขาในไทย
ส่วน Shinkanzen Sushi ร้านซูชิสัญชาติไทย เป็นอีกแบรนด์ที่น่าจับตามอง โดยมีกลุ่ม ซีอาร์จี (เซ็นทรัล เรสตอรองส์ กรุ๊ป) ถือหุ้นใหญ่อยู่ และยังคงมีแผนขยายสาขา ปีที่ผ่านมายังได้ดึงแบรนด์ร้านซูชิจากญี่ปุ่นเข้ามาเสริมทัพด้วย คือ คัตสึมิโดริ ซูชิ ซึ่งเป็นร้านซูชิสายพานจากโตเกียว ที่เปิดให้บริการมามากกว่า 23 ปีแล้ว
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
