รีเซต

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้

เปิดมุมมอง 3 โบรกฯ ส่องกลยุทธ์ลงทุน พร้อมเสิร์ฟหุ้นเด่นวันนี้
ทันหุ้น
20 พฤศจิกายน 2566 ( 09:31 )
47

#ทันหุ้น-บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองแนวโน้มตลาดวันนี้ คาด SET Index แกว่ง Sideways to Sideways Up ยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,410-1,425 จุด โดยกลุ่มพลังงานต้น-กลางน้ำคาดว่าจะฟื้นตัวได้ระยะสั้นตามราคาน้ำมันดิบที่ฟื้นตัว ภาพรวมตลาดยังคาดหวังเชิงบวกต่อโอกาส Soft Landing ของสหรัฐฯซึ่งอาจต้องระมัดระวังมากขึ้นในระยะสั้นเพราะเริ่มเห็นสัญญาณ Overbought โดยยังคงต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจในระยะถัดไปเพื่อยืนยันภาพ ส่วน Bond Yield ที่ยังอยู่ในทิศทางปรับลงระยะสั้นยังหนุนให้ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มฟื้นตัว 

 

ส่วนปัจจัยในประเทศมีตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามวันนี้คือ GDP 3Q23 ตลาดคาด +1.3% q-q, +2.2% y-y เร่งตัวขึ้นจาก 2Q23 เรามีมุมมองค่อนไปในทางบวกต่อ SET Index มากขึ้น โดยการปรับลงของดัชนีในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาเกือบ 10% สะท้อนปัจจัยลบทั้งการปรับประมาณการกำไรบจ.และ De-rated Valuation ไปแล้วค่อนข้างมาก ทำให้เรามองระดับดัชนี 1,400 จุดหรือต่ำกว่าเริ่มมี Downside จำกัดมากขึ้น และคาดเห็นแรงซื้อประคองชัดขึ้น เรามองกรณีแย่กรอบล่างของดัชนีที่ 1,320-1,360 จุด หากปรับลงแตะระดับดังกล่าวจะเป็นโอกาสสะสมหุ้นเพิ่มสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาว

 

กลยุทธ์ : เน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // รอจังหวะสะสมเพิ่มหากดัชนีปรับลงหากรอบ 1,320-1,360+- จุด

หุ้นเด่นเดือน พ.ย.:  AOT, BH, CENTEL, CPN, SISB

 

หุ้นเด่นวันนี้ : CPALL

• แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.80 บาท

• หลังจากประกาสกำไร 3Q23 ออกมาดีว่าคาด เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อทิศทางกำไรใน 4Q23 ที่คาดว่าจะยังโตแกร่ง y-y จากทั้ง High Season และฐานต่ำปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายครั้งเดียวด้านพนักงาน ล่าสุด SSSG ยังเป็นบวกได้ 2% (Wholesale +1%, Retail +5%)

• เราคาดกำไรปกติปี 2023 ที่ 1.64 หมื่นลบ. +24% y-y ขณะที่ปี 2024 คาดว่ายังเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่องอีก +19% y-y เป็น 1.94 หมื่นลบ. ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพงเทรด 2024PER ที่ราว 26 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 30 เท่า 

• แนวรับ 56//54 บาท แนวต้าน 58.50-59//61.50 บาท

 

**บล.คิงส์ฟอร์ด จำกัด ประเมินดัชนี SET มีโอกาส Sideway Up โดยมีแนวรับ 1,405 – 1,410 แนวต้าน 1,420 – 1,430 จากคาดเฟดยุติขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลบวกต่อ Fund Flow แนะนำทยอยซื้อ MTC,TIDLOR (+ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงแล้ว)/ CPALL,CPAXT,DOHOME (+ ม.กระตุ้นกำลังซื้อ)/ ITC, AAI(+ลูกค้าเริ่มรีสต็อคสินค้า) /เก็งกำไรทางเทคนิค เช่น GFC*,PIN*,EPG*    

 

ESG Theme จากประเด็นที่กระทรวงการคลังสรุปหลักเกณฑ์ Thailand ESG Fund (TESG) ซึ่งเป็นกองทุนใหม่มีวัตถุประสงค์สนับสนุนการออมเงินในระยะยาว โดยมีเป้าหมายการลงทุนในธุรกิจหลักทรัพย์ที่เป็น ESG รวมไปถึงตราสารหนี้ สำหรับเงื่อนไขกองทุนดังกล่าวจะต้องลงทุน 8 เป็นเต็ม มีอายุกองทุน 10 ปี และลงทุนได้ไม่เกิน 30% ของรายได้พึงประเมิน สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อราย คาดว่ากองทุนนี้จะมีเม็ดเงินเข้ามาไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้าน 

 

ทั้งนี้คาดว่าจะเข้า ครม.ในสัปดาห์นี้ เพื่อให้ทันใช้ในปีนี้และสามารถหักภาษีได้เลยในรอบเดือน มี.ค.67 เราคาดกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ได้แก่หุ้นที่มี SET ESG Ratings ในระดับ AAA ซึ่งมีทั้งหมด 34 บริษัท ADVANC AJ AMATA BANPU BAY BCP BGRIM BKI BPP CKP CPALL CPAXT CPF CRC KBANK KTB KTC M-CHAI OR PR9 PTT PTTEP PTTGC SABINA SCC SCGP STA STGT TFMAMA THCOM TISCO TOP WHA WHAUP ส่วนใหญ่ราคายังอยู่ในโซนต่ำ เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงาน-ปิโตร (ต่ำ Book) โรงไฟฟ้า (ราคาก๊าซ + Bond Yield เริ่มลง) ค้าปลีก-แฟชั่น (ฟื้นช่วงปลายปี) วัสดุก่อสร้าง-บรรจุภัณฑ์ (ต้นทุนพลังงานลด - จีนทยอยฟื้น) เป็นต้น

 

ITC* (ซื้อ/ ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 24.50 บาท) กำไรสุทธิ 3Q66 อยู่ที่ 645 ลบ. +45% QoQ, -56% YoY แม้ภาพ YoY ยังหดตัวจากฐานที่สูง แต่ภาพ QoQ ฟื้นตัวได้ชัดเจนจากการที่คู้ค้ากลับมาสต็อกสินค้าอีกครั้ง โดยเฉพาะในตลาด เอเชีย-โอเชียเนียและอื่นๆ ที่ยอดขาย +30%QoQ +1%YoY จากสินค้าใหม่ๆในไทยและญี่ปุ่น รวมไปถึงตลาดใหม่อย่างจีนที่ contribute สัดส่วนขึ้นเป็น 5.7% ส่วนการดำเนินงานช่วงถัดไป คาดว่ายังจะฟื้นตัวต่อได้ในแง่ของ QoQ ทั้งจากยอดขาย และ มาร์จิ้นที่กดดันน้อยลงจากต้นทุนราคาปลาทูน่าที่ลดลง ทั้งนี้ตลาดคาดว่าในปี66 และ67 กำไรสุทธิของ ITC จะอยู่ที่ระดับ 2,149 ลบ.(-52%YoY) และ 2,975 ลบ.(+38%YoY) 

 

**บล.ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองดัชนีฯ กำลังอยู่ในช่วงพักฐาน หลังพุ่งรับข่าวดีมาเกือบ 3% ภายในสัปดาห์เดียว ประเมินกรอบ 1410-1430 จุด

 

• รายงานประชุม FOMC (21) จะมีผลต่อตลาด ในมุมที่ว่า กรรมการ Fed แต่ละท่านในมุมมองต่อทิศทางดอกเบี้ยอย่างไร  แต่จากข่าวที่ออกมา นักลงทุนส่วนใหญ่เชื่อไปแล้วว่า Fed อาจยุติการขึ้นดอกเบี้ยในอีกไม่นาน เราจึงเห็น Flow เงินทุน ทยอยกลับเข้ามาในสินทรัพย์เสี่ยงและตลาดเอเซีย

 

• ราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง มีผลบวกต่อตลาดหุ้น ในเรื่องความกังวลเงินเฟ้อลดลง ลบต่อหุ้น PTTEP แต่ดีต่อหุ้นที่มีการอิงต้นทุนกับราคาน้ำมัน (สายการบิน ปิโตรเคมี โรงไฟฟ้า) แต่ต้องดูว่า หากราคาน้ำมันดิบ(Brent) ลงมาถึง $75 เหรียญ OPEC จะทำอย่างไร

 

• สงครามอิสราเอล-ฮามาส กำลังจะผ่านจุด peak ตลาดส่วนใหญ่ ไม่ค่อยให้น้ำหนักกับเรื่องนี้

 

• ไทยผ่านช่วงการรายงานกำไรบริษัทในตลาด จากนี้ จะเป็นเรื่องของงาน Analyst Meeting ซึ่งจะมีผลต่อทิศทางในอนาคตของบริษัทแต่ละแห่ง

 

• Event สำคัญๆ สัปดาห์นี้ GDP 3q ของไทย คาด 2.1% (เดือนก่อน 1.8%) และตัวเลขส่งออกไทย เดือนก่อน ขยายตัว 2.1%

 

Strategy

• สัปดาห์นี้ ตัวแปรโดยรวมดีขึ้น แต่แรงขายทำกำไรช่วงสั้นยังมีให้เห็น สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อดัชนีฯ ขึ้นไปยืนเหนือ 1420 จุด ได้อีกครั้ง หรือลงไปแตะ 1410 จุด ก็จะเป็นจุดซื้อเช่นกัน

 

• การคัดหุ้นเพื่อซื้อ เวลานี้ ยังเลือกจาก “ราคาต่ำ-กำไรฟื้น-ESG” เหมือนเดิม หุ้นที่มีลักษณะดังกล่าว ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มไฟฟ้า-ปิโตรเคมี สำหรับกลุ่มค้าปลีก หรือกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจ น่าจะต้องรอมาตรกระตุ้นจากภาครัฐฯ

 

• หุ้น ESG ที่อยู่ใน MSCI อยู่แล้ว 15 ตัว คือ  SCGP, MTC, IVL, OR, BDMS, SCC, ADVANC, DELTA, EA, SCB, KBANK, CRC, TRUE , KTB, TOP

 

• ตัวเลขส่งออก ที่จะรายงานสัปดาห์นี้ จะมีผลต่อหุ้น 4 ตัวหลักๆ KCE, HANA, AAI, ITC

 

• หุ้นในพอร์ตวันนี้ เรานำ BDMS ออก และนำ KTB, MEGA  เข้ามาในพอร์ต หุ้นในพอร์ตวันนี้ ประกอบไปด้วย KTB(10%), MEGA(10%), BGRIM(10%), EA(10%), IVL(10%),TRUE*(10%)

 

Strategy Stock Pick

KTB : (เป้าเชิงกลยุทธ์ 19.20 บาท)  “ มีความ laggard อยู่ในตัว ”

• หุ้นกลุ่มธนาคารส่วนใหญ่ ไม่ได้ขึ้นตามตลาดในรอบนี้ และบางตัวราคาลงมา ทั้งๆที่กำไรยังดี รวมถึง KTB ด้วย เราจึงมองเป็นจังหวะในการเข้าซื้อ เพื่อเก็งกำไรช่วงสั้น จากความที่ราคา laggard เมื่อเทียบกับตลาด

• KTB  กำไรสุทธิใน 3Q23 ที่ 1.03 หมื่นลบ. +22%YoY ; +1%QoQ ถือว่ากำไรยังมีการเติบโต

ผู้บริหารยังคงเป้าหมายการเติบโตปี 2023E ไว้ที่เดิม แต่มี NIM ที่มีโอกาสมากกว่าเป้าหมายที่ 2.8% (เราคาด 3.0%) เพราะ 4Q23E มีการปรับอัตราดอกเบี้ย M-rate เพิ่มขึ้นอีก

• ความเสี่ยงของหุ้นธนาคาร  คือ อิงกับเศรษฐกิจ โดยสัปดาห์นี้ ไทยจะรายงาน GDP   ขณะที่ KTB มีเรื่องของ มาตรการแจกเงินของรัฐบาล ที่อาจดึง KTB ไปเกี่ยวโยงด้วย

 

Technical:   SNNP, SINO 

 

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง