รีเซต

Blue Origin ส่งยาน ESCAPADE ไปดาวอังคาร และนำจรวด New Glenn ลงจอดบนเรือโดรนกลางมหาสมุทรแอตแลนติก

Blue Origin ส่งยาน ESCAPADE ไปดาวอังคาร และนำจรวด New Glenn ลงจอดบนเรือโดรนกลางมหาสมุทรแอตแลนติก
TNN ช่อง16
14 พฤศจิกายน 2568 ( 07:20 )
46

เช้าตรู่ของวันที่ 14 พฤศจิกายน บริษัท บลูออริจิน (Blue Origin) ได้สร้างสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญให้กับอุตสาหกรรมขนส่งอวกาศ ด้วยการส่งจรวด New Glenn ขึ้นสู่อวกาศเป็นครั้งที่ 2 พร้อมประสบความสำเร็จในการลงจอดบูสเตอร์หลักบนเรือกลางทะเลได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัท 

นับเป็นก้าวสำคัญของบริษัท Blue Origin ที่ให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาดจรวดขนาดใหญ่ และทำให้บริษัทกลายเป็นรายที่ 2 ของโลก รองจาก SpaceX ที่สามารถนำจรวดกลับมาลงจอดกลางมหาสมุทรได้สำเร็จ

จรวด New Glenn ทะยานขึ้นจากฐานปล่อย Launch Complex 36 ณ สถานีกองทัพอวกาศเคปคานาเวอรัล (Cape Canaveral Space Force Station) รัฐฟลอริดา เวลา 15:45 น. ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา โดยพลังขับของเครื่องยนต์ BE-4 ทำให้จรวดทะลุชั้นบรรยากาศได้อย่างสมบูรณ์แบบ ขณะเดียวกันความสนใจของผู้ชมหลายล้านคนทั่วโลกมุ่งจับตาไปที่ความพยายามลงจอดบูสเตอร์ที่บริษัทเคยล้มเหลวมาก่อนในเที่ยวบินแรกเมื่อเดือนมกราคม

การลงจอดครั้งประวัติศาสตร์นี้เกิดขึ้นบนเรือกู้คืน “Jacklyn” ซึ่งตั้งชื่อตามคุณแม่ของ เจฟฟ์ เบซอส ผู้ก่อตั้งบลูออริจิน เรือถูกจัดวางอยู่ห่างจากจุดปล่อยกว่า 604 กิโลเมตร กลางมหาสมุทรแอตแลนติก โดยหลังจากปล่อยตัวจากฐานปล่อยจรวด 7 นาที จรวดบูสเตอร์ได้จุดเครื่องยนต์ BE-4 จำนวน 3 ใน 7 เครื่อง ขึ้นใหม่เพื่อทำการชะลอความเร็ว ก่อนจะลงจอดด้วยแรงขับเคลื่อนในแนวดิ่งอย่างแม่นยำ สร้างเสียงเฮก้องจากทีมควบคุมภารกิจ ซึ่งอารีแอน คอร์เนล (Ariane Cornell) ประกาศด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “จรวดโคจรลงจอดแล้ว! วันนี้คือวันที่น่าทึ่งสำหรับบลูออริจิน”

ESCAPADE ภารกิจราคาประหยัดแต่พลิกเกมการสำรวจดาวอังคาร

นอกจากความสำเร็จของจรวดแล้ว ภารกิจหลักของเที่ยวบินนี้คือการส่งยานคู่แฝด ESCAPADE (Escape and Plasma Acceleration and Dynamics Explorers) ของ NASA ซึ่งออกแบบมาเพื่อศึกษาว่าดาวอังคารสูญเสียชั้นบรรยากาศไปอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป โดยยานทั้งสองลำมีชื่อเรียกว่า “Blue” และ “Gold” ตามสีประจำ UC Berkeley ทีมผู้วิจัยหลักของโครงการ

ESCAPADE ถือเป็นตัวอย่างของภารกิจวิทยาศาสตร์รูปแบบใหม่ที่เน้น “ประหยัดงบประมาณแต่ได้ข้อมูลสำคัญ” ด้วยต้นทุนรวมไม่ถึง 80 ล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าภารกิจสำรวจดาวอังคารยุคก่อนของ NASA อย่างมาก ยานทั้งสองถูกสร้างโดย Rocket Lab ร่วมกับมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และถูกปล่อยออกจากจรวด New Glenn ประมาณ 33.5 นาที หลังการทะยานขึ้น โดยเข้าสู่วิถีโคจรตามแผนอย่างสมบูรณ์แบบ

เส้นทางใหม่สู่ดาวอังคาร ไม่ต้องรอหน้าต่างการปล่อยทุก 26 เดือน

หนึ่งในไฮไลต์ด้านวิศวกรรมของภารกิจนี้คือการเลือกวิถีโคจรที่ไม่เหมือนใคร จรวด New Glenn ไม่ได้ส่งยาน ESCAPADE ไปยังดาวอังคารโดยตรง แต่ส่งยานไปยัง จุด Lagrange point 2 (L2) ของระบบโลกและดวงอาทิตย์ ซึ่งอยู่ห่างจากโลกกว่า 1.5 ล้านกิโลเมตร 

ยานจะลอยตัวอยู่ที่ L2 ประมาณหนึ่งปี ก่อนใช้แรงเหวี่ยงจากแรงโน้มถ่วงของโลก (Earth gravity assist) ในเดือนพฤศจิกายน 2026 เพื่อมุ่งหน้าไปยังดาวอังคาร โดยไม่ต้องรอหน้าต่างการปล่อยแบบเดิมที่จะเปิดทุก 26 เดือน ยาน ESCAPADE จึงกลายเป็นภารกิจบุกเบิกแนวทางใหม่ของการเดินทางระหว่างดาวเคราะห์

หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ยานฝาแฝดจะไปถึงวงโคจรของดาวอังคารในเดือนกันยายน 2027 และจะเริ่มสร้างแผนที่ 3 มิติของสภาพแวดล้อมแม่เหล็กและพลาสมารอบดาวเคราะห์สีแดง โดยใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์เหมือนกันทั้งสองลำเพื่อเปรียบเทียบข้อมูลแบบคู่ขนาน จุดมุ่งหมายคือเข้าใจว่าลมสุริยะทำให้ชั้นบรรยากาศของดาวอังคารหายไปสู่ห้วงอวกาศได้อย่างไร

New Glenn ตัวเต็งรายใหม่ในตลาดจรวดขนาดใหญ่

สำหรับจรวด New Glenn มีความสูงกว่า 98 เมตร และสามารถบรรทุกน้ำหนักสูงสุดประมาณ 50 ตัน สู่วงโคจรต่ำ (LEO) ซึ่งทัดเทียมกับ Falcon Heavy ของ SpaceX และเหนือกว่าความสามารถของจรวด Vulcan Centaur จาก United Launch Alliance จุดขายสำคัญคือบูสเตอร์ขั้นที่หนึ่งซึ่งออกแบบมาให้ นำกลับมาใช้ซ้ำได้อย่างน้อย 25 ครั้ง ช่วยลดต้นทุนในระยะยาว และทำให้ความถี่ในการปล่อยเพิ่มสูงขึ้น

ความสำเร็จครั้งนี้ยังมีผลโดยตรงต่อสัญญาเชิงพาณิชย์และภารกิจทางรัฐบาลของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าเกณฑ์ภารกิจด้านความมั่นคงแห่งชาติของกองทัพอวกาศสหรัฐฯ (U.S. Space Force) และสำนักงานลาดตระเวนแห่งชาติ (NRO) ซึ่งเป็นงานมูลค่าสูงและต้องการความน่าเชื่อถือของระบบจรวดอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ จรวด New Glenn ยังได้บรรทุกดาวเทียมรองของบริษัท ViaSat เพื่อทดสอบบริการถ่ายทอดข้อมูล ภายใต้โครงการ Communications Services Project (CSP) ของ NASA อีกด้วย ขณะที่ภารกิจในอนาคตที่บริษัทเล็งไว้ชัดเจนที่สุดคือการช่วยปล่อยกลุ่มดาวเทียม Project Kuiper ของ Amazon ซึ่งจะเป็นคู่แข่งโดยตรงของเครือข่าย Starlink จาก SpaceX

ความล่าช้าและบททดสอบก่อนถึงวันนี้

ก่อนจะถึงความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์นี้ ภารกิจ ESCAPADE ต้องเผชิญความล่าช้าติดต่อกันนานกว่าหนึ่งปี เดิมที NASA วางแผนจะให้ ESCAPADE บินบนเที่ยวบินแรกของ New Glenn ในปี 2024 แต่ตัดสินใจเลื่อนออกไปเพื่อรอให้จรวดมีเที่ยวบินที่ประสบความสำเร็จอย่างน้อยหนึ่งครั้งก่อน ส่งผลให้โครงการมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 255 ล้านบาท 

นอกจากนี้ยังมีเหตุเลื่อนจากพายุสุริยะรุนแรง สภาพอากาศเลวร้าย และปัญหาการปิดทำการของหน่วยงานรัฐ (Government shutdown) ที่ทำให้การปล่อยต้องขยับออกหลายรอบ

ท้ายที่สุด เมื่อเงื่อนไขทุกอย่างลงตัว จรวด New Glenn แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความเสถียรในการบินอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมผลักดันยานคู่แฝด ESCAPADE เดินทางสู่ภารกิจสำรวจใหม่บนดาวอังคารอย่างปลอดภัย เป็นการเปิดยุคใหม่ของการสำรวจอวกาศเชิงพาณิชย์และภารกิจแบบราคาประหยัดที่สามารถปฏิวัติความเข้าใจของมนุษยชาติต่อดาวเคราะห์เพื่อนบ้านของเราในอนาคต

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง