จับตา"ค่าไฟ"งวดใหม่ลุ้นถูกกว่า 3.98 บาท

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า สำหรับแนวโน้มค่าไฟฟ้าในอนาคตมองว่ามีโอกาสต่ำกว่างวดปัจจุบัน (พ.ค.-ส.ค. 2568) ที่ 3.98 บาทต่อหน่วย เนื่องจากสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้ามีราคาลดลง
สวนทางกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้าไปรับภาระต้นทุนเชื้อเพลิงให้ประชาชนทำให้เกิดหนี้สะสมค้างอยู่ที่ 71,000 ล้านบาท จากเดิมที่ต้องแบกรับภาระกว่า 150,000 ล้านบาท
อย่างกรณีในปี 2565 ที่ผ่านมา ค่าเชื้อเพลิงที่นำเข้ามาผลิตไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้น หาก กฟผ.ไม่ร่วมรับต้นทุนค่าไฟ 150,000 ล้านบาท ค่าไฟฟ้าของประชาชนจะขึ้นสูงถึง 7-8 บาทต่อหน่วย
ดังนั้นหากกฟผ.มีสัดส่วนผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นก็จะสร้างประโยชน์แก่รัฐเพิ่มมากขึ้นในการเป็นเครื่องมือดูแลประชาชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม กกพ. ครั้งที่ 16/2568 ในการประชุมวันที่ 30 เมษายน 2568 มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราค่าไฟงวดเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2568 ลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย จากมติกกพ. วันที่ 26 มีนาคม 2568 ที่มีการตรึงค่าไฟไว้ที่ 4.15 บาทต่อหน่วย
โดยเป็นการรับทราบตามมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดกรอบเป้าหมายไม่เกิน 3.99 บาทต่อหน่วย ไม่ใช้งบประมาณจากรัฐบาล
สำหรับการปรับลดค่าไฟลง 17 สตางค์ เหลือ 3.98 บาทต่อหน่วย เป็นการปรับลดจากค่าไฟ 4.15 บาทต่อหน่วย โดยเรียกคืนของผลประโยชน์ส่วนเกิน หรือ Claw Back ประมาณ 12,200 ล้านบาท เกิดจากการพิจารณาการลงทุนของการไฟฟ้า มีการประเมินสถานการณ์ซึ่งอาจจะเกินไปกว่าที่คาดการณ์ไว้
จึงเหลือเงินส่วนดังกล่าวเก็บไว้ ตามกฎหมายระบุว่าเงินส่วนนี้ หากมีเงินส่วนเกินและ กกพ.ตรวจพบ สามารถนำเงินส่วนนี้ไปปรับลดค่าไฟให้กับประชาชนในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤต ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลมีความห่วงใยในสภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว โดยมีผลทันทีวันที่ 1 พฤษภาคม 2568
ส่วนแนวทางความร่วมมือกับภาครัฐในการเจรจากับสหรัฐอเมริกาในการนำเข้า LNG นั้นกฟผ.พร้อมที่จะสนับสนุน LNG ที่จะรับซื้อเข้ามาจะต้องเป็นราคาประมูลเพื่อให้ได้ราคาที่ถูกและเกิดประโยชน์กับผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่สหรับนำเข้าสินค้าจากไทยภายใต้ต้นทุนราคาที่แข่งขันได้เหมือนกับประเทศอื่นๆ