‘บิ๊กป้อม’ส่งคณะทำงาน คุมดับไฟป่าเชียงใหม่ สั่งดำเนินคดีผู้ลักลอบเผาเด็ดขาด หลังอากาศแย่ติดอันดับโลก
วันที่ 10 เมษายน พล.ต.จิรเดช กมลเพ็ชร รองแม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานการประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับตัวแทน 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อติดตามสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันในพื้นที่ภาคเหนือ ณ กองบัญชาการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จังหวัดเชียงใหม่ โดยขณะนี้พบว่าสถานการณ์เริ่มคลี่คลายขึ้น จุดความร้อนลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเช้าวันนี้พบจุดความร้อนในจังหวัดเชียงใหม่เพียง 88 จุด อยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ 58 จุด ป่าอนุรักษ์ 29 จุด และเขต สปก. 1 จุด
พล.ต.จิรเดช กล่าวว่า ขอให้ชุดรณรงค์ไฟป่าและหมอกควัน 14 ชุด ใน 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ลงพื้นที่สร้างความรู้ความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง ให้ตระหนักถึงการใช้ประโยชน์จากป่าโดยไม่เผาป่า รวมทั้งเข้าฟื้นฟูป่าพร้อมกับหน่วยงานภาครัฐ และทหารในแต่ละพื้นที่ เพื่อเป็นไปตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวานนี้
ด้าน นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย พล.อ.อำนาจ รอดสวัสดิ์ คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายจากพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ให้ดูแลการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควันของจังหวัดเชียงใหม่ เข้าร่วมการประชุมกับคณะทำงานศูนย์บัญชาการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งเรียกประชุม 5 อำเภอที่มีจุดความร้อนมากที่สุดในเช้าวันนี้ คือ อำเภออมก๋อย กัลยานิวัฒนา ฮอด แม่แตง แม่แจ่ม ผ่านระบบวิดีทัศน์ทางไกลเพื่อเร่งติดตามการแก้ไขและปรับแผนการดำเนินงาน
โดย นายเจริญฤทธิ์ กล่าวว่า ให้ทุกอำเภอเฝ้าระวังป้องกันไม่ให้คนเข้าไปในพื้นที่ป่าอีก และเมื่อพบจุดความร้อนขึ้นให้เร่งดับไฟ และจัดทีมสนับสนุนเข้าตรวจสอบหลักฐานการกระทำผิดทันที โดยต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อให้เกิดความเกรงกลัว โดยเฉพาะในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้มีการผ่อนผันให้ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ หากเกิดไฟจะต้องเร่งดำเนินคดีโดยไม่จำเป็นต้องรอให้เจอตัวผู้ต้องหา เพราะถ้าหากเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ให้เชิญเจ้าของที่ครอบครองที่ถือว่าเป็นผู้ต้องสงสัยมาได้ทันที หากไม่ทำจะถือว่าเป็นการละเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ ซึ่งจะต้องทำควบคู่กับสร้างการรับรู้เรื่องการเผาให้แก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
สำหรับ การแจ้งความดำเนินคดีเมื่อวานนี้ 33 คดี จาก 10 อำเภอ รวมตั้งแต่วันที่ประกาศห้ามเผาในที่โล่งเด็ดขาดรวมทุก พ.ร.บ. ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม – 10 เมษายน 2563 จำนวน 998 ราย แยกเป็น สาธารณสุข 29 ราย แยกเป็น จับกุม 22 ราย อยู่ระหว่างสืบสวน 7 ราย ป่าไม้ 878 ราย แยกเป็น จับกุม 27 ราย อยู่ระหว่างสืบสวน 851 ราย จราจร 91 ราย
ล่าสุดจากการออกตรวจลาดตระเวน เพื่อป้องกันการเผาป่าและตรวจสอบการบุกรุกฟื้นที่ป่า ได้จับกุมผู้ต้องหาได้ที่อำเภอจอมทองพร้อมของกลางไฟแช็ก อยู่ระหว่างสืบสวนหาหลักฐานเพิ่มเติมดำเนินคดี และที่อำเภอเชียงดาว ได้แจ้งความผู้ลักลอบเผาป่า ยังไม่พบตัวผู้กระทำผิด โดยอยู่ระหว่างติดตามตัวผู้ต้องสงสัยมาดำเนินคดี
ทั้งนี้ พล.อ.อำนาจ กล่าวว่า นโยบายผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ถือว่าชัดเจนดี หากขาดแคลนสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นวัสดุ อุปกรณ์ อากาศยาน ให้รีบแจ้งจะได้นำเรียนผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเข้าใจว่าแต่ละพื้นที่ที่เกิดไฟป่านั้นมีความยากลำบาก ไฟที่เกิดเป็นภูเขาสูงชัน ยากต่อการเข้าไปดับได้ทันที จึงต้องขอความมือจากทุกฝ่ายบูรณาการร่วมกันแก้ปัญหาหมอกควันไฟป่าในเชียงใหม่อย่างเต็มกำลังจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่พบว่า ยังคงเป็นพื้นที่ สีแดง-ส้ม ค่ามลพิษทางอากาศและฝุ่นจิ๋ว ยังอยู่ในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ค่าฝุ่นขนาดเล็ก PM2.5 ยังเกินไปจาก 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานอยู่มาก จากการตรวจสอบด้วยแอพพลิเคชั่น AirCMI พบว่า ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กเมื่อเวลา 10.00 น. สูงสุดอยู่ที่ อ. กัลยาณิวัฒนา วัดได้ 529 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตัวเมืองเชียงใหม่ 60 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
ในขณะที่แอพพลิเคชั่น AirVisual ระบุว่า จังหวัดเชียงใหม่เป็นพื้นที่มลพิษทางอากาศแย่อันดับ 2 ของโลก ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กสูง 178 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รองจากเมือง เดลี ประเทศอินเดีย 184 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร