BYD เตรียมโค่น Tesla ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ในปี 2024
การแข่งขันของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นไปอย่างดุเดือด โดยรายงานของ Counterpoint Research ผู้เชี่ยวชาญด้านตัวเลขสถิติทางธุรกิจ คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้า (BEV) ในปี 2024 นี้ ค่าย BYD จากประเทศจีนจะแซงหน้าบริษัท Tesla จากสหรัฐอเมริกา
โดยสำนักข่าว CNBC ได้รายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ของ BYD ในไตรมาสที่ 2 พุ่งขึ้นเกือบ 21% เมื่อเทียบเป็นรายปี อยู่ที่ 426,039 คัน ส่วนยอดขายของ Tesla ในไตรมาสที่ 2 ลดลง 4.8% เหลือ 443,956 คัน
ก่อนหน้านี้ในปี 2023 ยอดการผลิตทั้งหมดของ BYD ซึ่งประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้าล้วนหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้า (BEV) และรถยนต์ไฮบริด มีจำนวนมากกว่า 3 ล้านคัน แซงหน้ายอดการผลิตของ Tesla ซึ่งอยู่ที่ 1.84 ล้านคัน เป็นปีที่สองติดต่อกัน แสดงให้เห็นความแข็งแกร่งด้านกำลังการผลิตของบริษัท BYD เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามในปี 2023 หากนับเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วนหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้า (BEV) บริษัท Tesla ยังครองความเป็นอันดับหนึ่งอยู่ในด้านยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนทั่วโลก โดยมียอดขาย 1.8 ล้านคัน ในขณะที่ BYD มียอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนทั่วโลก 1.57 ล้านคัน สำหรับตัวเลขในปี 2024 บริษัท BYD เตรียมเน้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าล้วนหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้า (BEV) เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าในปี 2024 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของบริษัทจะโตขึ้น 4 เท่าในทวีปอเมริกาเหนือ และส่งผลให้บริษัท BYD สามารถแซงบริษัท Tesla ได้สำเร็จ แม้จะนับจำนวนเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าล้วนหรือรถยนต์ที่ใช้แบตเตอรี่พลังงานไฟฟ้า (BEV) ก็ตาม
ปัจจุบันประเทศจีนยังคงเป็นประเทศผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามากที่สุดในโลก โดยมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดของบริษัทผู้พัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าภายในประเทศหลายร้อยบริษัท โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 50% ของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั่วโลก
แม้ว่ารถยนต์พลังงานไฟฟ้าของประเทศจีนจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เป็นระยะ เช่น สหภาพยุโรปเตรียมขึ้นภาษีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจากจีน โดยบริษัท BYD ต้องเสียเพิ่มเติม 17.4% บริษัท Geely ต้องเสียเพิ่มเติม 20% และบริษัท SAIC ต้องเสียเพิ่มเติม 38.1% จากเดิมที่บริษัทต่าง ๆ จากประเทศจีนต้องเสียภาษีประมาณ 10% โดยคาดว่าสหภาพยุโรปจะเริ่มบังคับใช้การเก็บภาษีรูปแบบใหม่นี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม หากการหารือกับทางการจีนไม่สามารถหาข้อยุติได้
ที่มาของข้อมูล CNBC