"ลาออกเงียบๆ" "ลาออกล้างแค้น" หมดยุคทำงานถวายชีวิต?

ลาออกแบบเงียบๆ หรือ "Quiet Quitting"
ทำงานไปวันๆ สั่งแค่ไหน ก็ทำแค่นั้น ทำแค่ตามหน้าที่ไม่มากไปกว่านี้
หมดไฟ หมดพลัง ไม่กระตือรือล้นอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไม่ลาออก
หรือลาออกอยู่ในใจ แบบไม่มีใครรู้
นี่ คือ สิ่งที่เรียกว่า ลาออกแบบเงียบๆ หรือ "Quiet Quitting"
และการลาออกแบบเงียบๆ ที่ว่านี้ กำลังลุกลามในกลุ่มคนทำงานของญี่ปุ่น
ล่าสุดผลสำรวจที่พบว่าพนักงงานประจำเกือบครึ่งมีอาการที่ว่านี้
ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากๆ เพราะคนญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมให้คนต้องทุ่มเทและเสียสละเพื่องาน
หรือยอมตายเพราะงานหนักได้
งานหนักไม่ทำให้ใครตายจริงหรือเปล่าไม่รู้
แต่ที่แน่ๆตอนนี้คนญี่ปุ่นยุคนี้เริ่มหมดไฟ ไม่อยากทำงานหนักเกินตัวแล้วค่ะ
อ้างอิงเรื่องนี้จากรายงานของสื่อต่างประเทศหลายสำนัก เช่น
เซาธ์ไชน่ามอร์นิงโพสต์ (South China Morning Post) และ The Japan Times
ซึ่งได้เปิดเผยผลสำรวจของบริษัทจัดหางาน "ไมนาบิ" (Mynavi)
พบว่าพนักงานประจำในญี่ปุ่นมากถึง 45%
มีพฤติกรรม "ลาออกเงียบๆ" หรือหรือ "Quiet Quitting"
ซึ่งหมายถึงคนที่ทำงานเพียงแค่ตามสั่งหรือตามหน้าที่เท่านั้นไม่มากไปกว่านี้
และจากการสำรวจครั้งนี้ มีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมดจำนวน 3,000 คน
เป็นคนที่มีอายุตั้งแต่ 20 ไปถึง 59 ปี แต่พบว่ากลุ่มคนที่มีอาการแบบนี้ส่วนใหญ่คือเด็กรุ่นใหม่ๆ
โดยเฉพาะคนในช่วงวัย 20 ปี มากถึง 46.7% ระบุว่าเป็นคนทำงานที่กำลังลาออกเงียบๆ
เป็นการสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่าคนเหล่านี้ไม่มีแรงจูงใจในการทำงานแล้ว
และมองหา Work Life Balance หรือสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงานมากกว่าคนรุ่นอื่นๆ
ทั้งนี้จากการสำรวจของ Mynavi พบว่ามีสาเหตุหลัก 4 ประการ
ที่ทำให้พนักงานชาวญี่ปุ่นลาออกเงียบๆ คือ
1. รู้สึกว่าสถานที่ทำงานปัจจุบันไม่ตรงกับสิ่งที่ต้องการทำ
2. ไม่พอใจกับการประเมินผลงานของตนเองโดยนายจ้าง
3.ให้ความสำคัญกับต้นทุนและผลประโยชน์ของงานเป็นหลัก
หมายความว่า พวกเขาต้องการอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันมากกว่า
เพราะการเลื่อนตำแหน่งจะทำให้ต้องเสียเวลาส่วนตัวหรือความพยายามมากขึ้น
ซึ่งไม่คุ้มกับเงินเดือนที่ได้รับ
4.ไม่สนใจความก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างแท้จริง
หลายคนฟังเรื่องนี้แล้วบอกว่าไม่เห็นแปลก ใครๆก็เป็นกัน
แค่การหมดไฟในการทำงาน
แต่สำหรับญี่ปุ่น เรื่องนี้สะท้อนอะไรได้มากกว่านั้น
เพราะถือเป็นการเปลี่ยนแปลงค่านิยมในการทำงานแบบชาวญี่ปุ่น
ที่ผู้คนเชื่อในการทำงานแบบทุ่มเทถวายชีวิต
วัฒนธรรมการทำงานของญี่ปุ่นเต็มไปด้วยค่านิยมการเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวม
มีคำว่า ‘คาโรชิ’ ซึ่งเป็นคำเรียกเฉพาะเกี่ยวกับการเสียชีวิตจากการทำงานหนักเกินไป
แต่ผลสำรวจของล่าสุดชี้ว่า ค่านิยมดังกล่าวกำลังเปลี่ยนแปลงไป
"Akari Asahina" นักวิจัยจาก Mynavi Career Research Lab
ระบุว่า “การทำงานแบบ ‘ลาออกอย่างเงียบๆ’ กำลังกลายบรรทัดฐานใหม่ของคนญี่ปุ่น”
หรือกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมญี่ปุ่นไปแล้ว
ดังนั้นเมื่อค่านิยมต่างๆ ของคนมีความหลากหลายมากขึ้น
บริษัทต่างๆ จึงควรยอมรับและเสนอรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น
ให้เหมาะกับคนทำงาน
ขณะเดียวกัน เรื่องนี้จากในมุมมองของ HR หรือฝ่ายทรัพยากรบุคคล
ซึ่งได้ถูกทำการสำรวจไปพร้อมกัน พบว่า มีฝ่ายบุคคลจำนวนไม่น้อย หรือมากถึงเกือบ 40 %
ที่ตอบว่าพวกเขายินดีที่จะรับที่มีพฤติกรรมลาออกเงียบๆมาทำงาน
และบอกด้วยว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องหันมาพิจารณาพฤติกรรมดังกล่าวให้มากขึ้น
ในกลุ่มพนักงานที่ไม่ได้แสวงหาความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
เนื่องจากรูปแบบการทำงานของแต่ละคนแตกต่างกัน
แต่ก็มี HR อีกส่วนหนึ่งที่มองว่าพฤติกรรมแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีนัก
โดยบอกว่าความคิดเช่นนี้อาจไม่ดีต่อขวัญกำลังใจโดยรวมขององค์กรได้
ทั้งนี้ ชั่วโมงการทำงานของคนญี่ปุ่นกำลังลดลงเรื่อย ๆ เช่นกัน ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
จากการรายงานของ ทาคาชิ ซากาโมโตะ (Takashi Sakamoto)
นักวิเคราะห์จากสถาบัน รีครูต เวิร์ก (Recruit Works Institute) เมื่อช่วงปลายที่ปีแล้ว
พบว่าชั่วโมงการทำงานเฉลี่ยรายปีของชาวญี่ปุ่นลดลง 11.6% จาก 1,839 ชั่วโมงในปี 2000
เหลือ 1,626 ในปี 2022 ซึ่งใกล้เคียงกับชั่วโมงการทำงานของชาวยุโรปมากขึ้น
นักวิเคราะห์ยังชี้อีกว่า การเปลี่ยนแปลงนี้ขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ในญี่ปุ่น
ที่ให้ความสำคัญกับชีวิตส่วนตัว มากกว่าความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
หรือการสร้างชื่อเสียงในที่ทำงานแบบคนรุ่นพ่อแม่
กระแสการลาออกเงียบๆ ไม่ใช่แค่ญี่ปุ่น แต่ขึ้นมาสักพักใหญ่ๆแล้วทั่วโลก
และขณะเดียวกันล่าสุดปีนี้ก็มีเทรนด์ตรงกันข้ามออกมา
นั่นคือกระแสลาออกเพื่อแก้แค้นหรือลาออกเพื่อเอาคืนบริษัท
เพราะว่าทำงานหนักแต่กลับไม่ได้รับการดูแล
ไม่ได้เลื่อนขั้นหรือไม่ขึ้นเงินเดือนให้
คำว่า *Quiet Quitting* เริ่มเป็นที่พูดถึงในวงกว้างช่วงกลางปี 2565 (2022)
จากคลิปวิดีโอบน TikTok โดยผู้ใช้งานชื่อ Zaid Khan ที่กล่าวว่า:
“You’re not outright quitting your job, but you’re quitting the idea of going above and beyond...”
คุณไม่ได้ลาออกจากงานจริง ๆ แต่คุณเลิกเชื่อในแนวคิดการทำงานเกินขอบเขต
วิดีโอดังกล่าวกลายเป็นไวรัลและจุดประกายให้เกิดการถกเถียงในวงการแรงงานทั่วโลก
โดยเฉพาะในยุคหลังโควิด-19 ที่ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับ “สมดุลชีวิต” (Work-Life Balance)
มากกว่าความก้าวหน้าเพียงแค่อย่างเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อแนวคิดนี้กลายเป็นกระแสไวรัลบน TikTok
และกลายเป็นแนวคิดใหม่ในการทำงาน
และยังเป็นที่พูดถึงหรือพบเจอมากขึ้น และแพร่หลายกันไปทั่วโลก
เช่น มีรายงานที่เผยแพร่ในปี 2566 โดยบริษัทวิจัย Gallup ของอเมริกา
เปิดเผยว่าพนักงาน 59% ทั่วโลก มีแนวคิดที่ว่านี้
โดยคนเหล่านี้จะทำงานปฏิบัติตามหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย
แต่ว่าจะไม่ทุ่มเทเกินขอบเขตเพื่อหวังความก้าวหน้าในอาชีพการงาน
ไม่ใฝ่ฝันถึงการเลื่อนตำแหน่ง หรือแม้กระทั่งการขึ้นเงินเดือน
"Revenge Quitting" ลาออกเพื่อแก้แค้น
ในทางกลับกันล่าสุดในปีนี้ก็มีอีกหนึ่งแนวคิดที่ก้าวร้าวและรุนแรงกว่า "การลาออกเงียบๆ"
นั่นคือ "Revenge Quitting" ลาออกเพื่อแก้แค้น
หมายถึงการที่พนักงานลาออกจากงานอย่างกะทันหัน
เพื่อแสดงจุดยืนว่าตนเองไม่พอใจบริษัทหรือองค์กรอย่างเปิดเผย
ซึ่งคนเหล่านี้มักจะมีพฤติกรรมการทำงานที่ตรงข้ามกับคนที่ลาออกเงียบๆ
เช่น ทำงานหนักเกินเงินเดือน ทุ่มเกินหน้าที่ แต่ไม่ได้รับการยอมรับ ไม่เลื่อนขั้น ไม่ขึ้นเงินเดือน
รวมถึงการหมดไฟในการทำงาน ไม่พอใจกับค่าจ้างที่ต่ำและโอกาสก้าวหน้าที่น้อยลง
โดยเฉพาะหนึ่งในปัญหาใหญ่ก็คือ “ที่ทำงานที่เป็นพิษ”
ทำให้องค์กรเต็มไปด้วยความขัดแย้งและการขาดความไว้วางใจ
ซึ่งเทรนด์นี้กำลังเริ่มได้รับความนิยมและมาแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เช่น การสำรวจโดยบริษัทที่ปรึกษาด้านซอฟต์แวร์ Software Finder ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แสดงให้เห็นว่าพนักงานประจำ 4% ในสหรัฐฯ กำลังพิจารณาลาออกเพื่อแก้แค้นในปีนี้
ใครๆก็อยากได้เงิน แต่สำหรับคนยุคนี้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ
ดูเหมือนว่า "Work Life Balance" หรือสมดุลชีวิตก็ยังมาแรงกว่า
หมดยุคของทำงานหามรุ่งหามค่ำ มีแต่ลาออกเงียบๆ และลาออกเพื่อล้างแค้นเท่านั้น