รีเซต

"ศุภจี" สั่งลุย คุมราคายาโรงพยาบาลเอกชน ประชาชนต้องรู้ค่ายาก่อน-เลือกไปซื้อข้างนอกได้

"ศุภจี"  สั่งลุย คุมราคายาโรงพยาบาลเอกชน ประชาชนต้องรู้ค่ายาก่อน-เลือกไปซื้อข้างนอกได้
TNN ช่อง16
3 ตุลาคม 2568 ( 08:45 )

"ศุภจี" สั่งพาณิชย์ คุมราคายา "โรงพยาบาลเอกชน" ชี้ประชาชนต้องได้รู้ค่ายาก่อน และเลือกไปซื้อข้างนอกได้ เริ่มสิ้นเดือนตุลาคม 2568 

   

ศุภจี สุธรรมพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า หนึ่งในมาตรการ "Quick Big Win" คือ การคุมราคายาและเวชภัณฑ์ในโรงพยาบาลเอกชน เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีการคาดการณ์ว่าหากมาตรการนี้เดินหน้าเต็มรูปแบบ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชนได้กว่า 33,500 ล้านบาทต่อปี


รัฐมนตรีพาณิชย์ได้อธิบายว่า กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินการสองแนวทางไปพร้อมกัน 


แนวทางที่ 1 คือ บังคับให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยราคายาอย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้ป่วยรู้ค่าใช้จ่ายล่วงหน้าและสามารถเลือกไปซื้อจากร้านขายยาภายนอกได้หากถูกกว่า 


แนวทางที่ 2  คือ ควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็น เช่น ถุงมือยาง สำลี และชุดตรวจโควิด เพื่อป้องกันการตั้งราคาที่สูงเกินจริง ตัวเลขเบื้องต้นประเมินว่าจะช่วยลดภาระในส่วนของยากว่า 32,400 ล้านบาท และในส่วนเวชภัณฑ์อีกกว่า 1,100 ล้านบาทต่อปี


ทั้งนี้ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนกว่า 110 แห่งจาก 5 เครือใหญ่ที่ตอบรับเข้าร่วมแล้ว ได้แก่ วิภาราม เกษมราษฎร์ ธนบุรี บางประกอก และดุสิตเวชการ ขณะที่สมาคมโรงพยาบาลเอกชนมีสมาชิกมากกว่า 300 แห่งทั่วประเทศ กระทรวงพาณิชย์จึงเตรียมหารือเพิ่มเติมเพื่อขยายความร่วมมือให้กว้างขึ้น โดยหลังจากนี้จะมีการประชุมเพิ่มเติมในวันที่ 7 ตุลาคม 2568 ซึ่งคาดว่าจะได้จำนวนเพิ่มมากขึ้น และจะสามารถดำเนินการได้ช่วงสิ้นเดือนตุลาคม


ศุภจี ระบุว่า เรื่องสุขภาพมีค่าใช้จ่ายมูลค่าสูงขึ้น และประชาชนก็อาจจะมีทางเลือกน้อยลง เราจะมุ่งเน้นช่วยในเรื่องของความเดือดร้อน ทั้งในเรื่องของความแออัดของโรงพยาบาลรัฐ เนื่องจากประชาชนมีรายได้น้อย ต้องการจะลดค่าใช้จ่ายก็ต้องไปที่โรงพยาบาลรัฐ ต่อไปประชาชนจะได้เอาเงินไปทำอย่างอื่นได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการลดค่าครองชีพ และเป็น Quick Big Win 



"กรมการค้าภายใน" ขานรับนโยบาย "ศุภจี"  MOU คุมค่ายา จัดธงฟ้า ลดค่าครองชีพ 


ล่าสุดความคืบหน้าในเรื่องดังกล่าว นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายใน (DIT) กำลังเร่งขับเคลื่อนมาตรการด้านการลดค่าครองชีพและเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชน ตามนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ 


โดยเฉพาะการเตรียมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) กับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน เพื่อเปิดเผยราคายาและเวชภัณฑ์ก่อนการชำระเงิน ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเลือกซื้อยาจากร้านขายยาภายนอกได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม คาดว่าจะช่วยประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นยังช่วยลดความแออัดในโรงพยาบาลรัฐ และเปิดโอกาสให้โรงพยาบาลเอกชนมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น ด้านเวชภัณฑ์จำเป็น กรมฯ ยังได้เข้ามากำกับต้นทุนสินค้าสำคัญ เช่น ผ้าก๊อซ สำลี แผ่นแปะแผล ชุดตรวจ ATK ถุงมือยาง และแผ่นรองซับ โดยมาตรการดังกล่าวช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกกว่า 1,100 ล้านบาท


นอกจากนี้ยังมีภารกิจสำคัญอันดับแรก คือ การลดค่าครองชีพของประชาชน DIT  ได้เดินหน้าจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งทั่วประเทศ โดยใกล้สุดเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 ที่จังหวัดศรีสะเกษ และจัดต่อเนื่องในจังหวัดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี 2569 รวมทั้งมหกรรมลดราคาสินค้าในช่วงเทศกาลสำคัญ เช่น ปีใหม่ เทศกาลกินเจ ตรุษจีน และช่วงเปิดภาคเรียน เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพให้ครัวเรือน คาดว่าจะลดรายจ่ายประชาชนได้กว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี


พร้อมกันนี้ยังมีการเชื่อมโยงสินค้าเกษตรเข้าสู่ตลาดเมืองใหญ่ และเพิ่มช่องทางจำหน่ายในพื้นที่ต่างจังหวัดเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการจัดกิจกรรมลดราคาปุ๋ย และยา ในโครงการธงเขียว ด้วย



นอกจากการดูแลค่าครองชีพแล้ว DIT ยังมุ่งรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตรที่เป็นหัวใจของเศรษฐกิจฐานราก ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีปัญหาสำคัญเรื่องการนำเข้าจากพื้นที่เผาและก่อมลพิษ โดยได้กำหนดมาตรการควบคุมการนำเข้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เพื่อยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็ประกันราคารับซื้อที่เกษตรกรพอใจเพื่อให้มีรายได้ที่มั่นคง ส่วนมันสำปะหลัง ได้มีส่งเสริมให้เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนแปรรูปหัวมันสดเป็นมันเส้นเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา และสนับสนุนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มมูลค่าการผลิต รวมถึงผลักดันการใช้พันธุ์ต้านทานโรคใบด่างและควบคุมการนำเข้าสินค้าคุณภาพต่ำเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยไม่ให้ได้รับผลกระทบจากโรคระบาด


สำหรับผลไม้และพืชเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น กระเทียม หอมแดง และหอมใหญ่ ที่มีผลผลิตออกกระจุกตัวและเน่าเสียง่าย DIT ได้ร่วมกับห้างค้าปลีกและเครือข่ายจำหน่ายทั่วประเทศในการกระจายผลผลิตออกนอกพื้นที่เก็บเกี่ยว รวมถึงเชื่อมโยงการซื้อขายล่วงหน้าและจัดกิจกรรมรณรงค์การบริโภคผลไม้ไทย เพื่อกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและรักษาระดับราคาที่เป็นธรรมทั้งต่อเกษตรกรและผู้บริโภค


นอกจากนี้ยังมีแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรในการจัดทำตัวอย่างการปลูกพืชเศรษฐกิจที่มีตลาดรองรับทดแทน โดยกรมได้เริ่มแปลงตัวอย่างกับสินค้ากล้วยหอม ในอำเภอเสิงสาง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งสามารถส่งออกกล้วยหอมไปยังประเทศญี่ปุ่นได้ในราคาดี ทำให้ปัจจุบันเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงได้มีการปรับเปลี่ยนพืชเดิมมาปลูกกล้วยหอมกันมากขึ้น โดยแนวทางดังกล่าวจะได้มีการนำไปต่อยอดกับสินค้าเกษตรตัวต่อไป อาทิ แปลงลำไยในจังหวัดลำพูน ที่จะมีการปลูกอาโวคาโด แซมในแปลงลำไย เป็นต้น


มาตรการ Quick Big Win ดังกล่าวจะดำเนินการทันที โดยผลการดำเนินมาตรการจะมีผลเป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์ เกษตรกรมีรายได้มั่นคง ผู้ประกอบการสามารถแข่งขันได้ และเศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งในระยะยาว ตรงตามเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่มุ่งให้เกิด Quick Win พร้อมกับการสร้างรากฐานการค้าไทยที่โปร่งใส ยั่งยืน และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง