รีเซต

คะแนนนิยมไบเดนต่ำสุด เรื่องรับมือเงินเฟ้อ-โรคระบาด-ความรุนแรงจากปืน

คะแนนนิยมไบเดนต่ำสุด เรื่องรับมือเงินเฟ้อ-โรคระบาด-ความรุนแรงจากปืน
Xinhua
14 ธันวาคม 2564 ( 18:37 )
77

ข่าววันนี้ 14 ธ.ค. (ซินหัว) - เมื่อวันอาทิตย์ (12 ธ.ค.) หนังสือพิมพ์ ยูเอสเอ ทูเดย์ (USA Today) ของสหรัฐฯ รายงานโดยอ้างอิงสำนักข่าว เอบีซี นิวส์ (ABC News) และแบบสำรวจของอิปซอส (Ipsos) ว่าโจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ถูกชาวอเมริกันวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจ ควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และจัดการปัญหาความรุนแรงจากอาวุธปืน

 

ยูเอสเอ ทูเดย์ ระบุว่าภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นปัญหาที่ชาวอเมริกันรู้สึกกังวลที่สุด โดยแบบสำรวจเผยว่ามีชาวอเมริกันที่พึงพอใจกับการแก้ปัญหาภาวะเงินเฟ้อของไบเดนเพียงร้อยละ 28 ขณะที่ร้อยละ 69 ไม่พอใจ

 

ในเดือนธันวาคมมีชาวอเมริกันพึงพอใจกับวิธีการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไบเดนร้อยละ 41 ลดลงจากเดือนตุลาคมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 47 ขณะเดียวกันมีชาวอเมริกันร้อยละ 57 ที่ไม่พอใจวิธีการบริหารเศรษฐกิจของเขา เพิ่มขึ้นจากเดือนตุลาคมซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 53

 

ขณะที่เชื้อไวรัสฯ ชนิดกลายพันธุ์สายพันธุ์โอไมครอนแพร่ระบาดไปทั่วสหรัฐฯ ทำให้หลายพื้นที่กลับมาบังคับให้สวมหน้ากากอนามัย ใช้ข้อจำกัดด้านการเดินทาง และจัดการฉีดวัคซีนโดสกระตุ้น ส่งผลให้ชาวอเมริกันจำนวนมากเริ่มไม่เชื่อถือวิธีการรับมือการระบาดใหญ่ของไบเดน

 

 

แม้ว่าประชาชนร้อยละ 53 ซึ่งเป็นคนส่วนมาก ยังพึงพอใจในวิธีการรับมือโรคโควิด-19 ของไบเดน ขณะที่มีผู้ไม่พอใจร้อยละ 45 แต่สัดส่วนผู้ที่พอใจกลับลดลงเกือบ 20 จุดจากเดือนมีนาคม ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 72

 

นอกจากนี้ ชาวอเมริกันยังไม่พอใจวิธีแก้ปัญหาความรุนแรงจากปืนและอาชญากรรมของไบเดน หลังจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงจากปืนและผู้เสียชีวิตที่เกี่ยวข้องเพิ่มสูงในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้คะแนนความพึงพอใจในด้านนี้ของไบเดนลดลง 7 จุดเมื่อนับตั้งแต่เดือนตุลาคม

 

2 ใน 3 ของชาวอเมริกันที่ทำแบบสำรวจ ไม่พอใจวิธีการแก้ปัญหาความรุนแรงจากปืนของไบเดน ขณะที่มีผู้พึงพอใจร้อยละ 32 และมีชาวอเมริกันพอใจกับการแก้ปัญหาอาชญากรรมของไบเดนเพียงร้อยละ 36 ส่วนผู้ที่ไม่พอใจมีร้อยละ 61 ซึ่งสัดส่วนความพึงพอใจของสถิติทั้งสองรายการนี้อยู่ในระดับต่ำสุด นับตั้งแต่ไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี

 

อนึ่ง แบบสำรวจข้างต้นจัดทำขึ้นช่วงวันที่ 10-11 ธ.ค. โดยสุ่มสอบถามชาวอเมริกัน 524 คน และมีอัตราความผิดพลาดร้อยละ 5

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง