รัฐบาลเผย “3 ปัจจัย” ต้องพิจารณาก่อนขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคลัง ระบุว่า กระทรวงการคลัง ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในทุกเรื่อง ทั้งปัญหาความยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครน การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และสถานการณ์ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
โดยกรณีการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทุกแห่งรวมถึงไทย ได้ให้ความสำคัญกับ 3 ปัจจัยหลัก ในการพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ดังนี้
1. อัตราเงินเฟ้อ โดยต้องดูว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะช่วยลดเงินเฟ้อได้จริงหรือไม่ และมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน
2. การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ต้องมั่นใจว่าจะไม่กระทบการฟื้นตัวของเศรฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ต้องการดูแลเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติได้เร็วที่สุด และ
3. เงินทุนไหลออก ซึ่งที่ผ่านมาพบว่ามีเงินทุนไหลออกบ้าง แต่จำนวนไม่มาก และยังไม่มีนัยสำคัญ
โดยในส่วนของกระทรวงการคลัง ยังเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะโตได้ที่ร้อยละ 3-3.5 ถือว่าเป็นระดับที่ดีแล้ว และน่าจะทำได้ โดยเป็นผลมาจากการส่งออกที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่าลง และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่ตั้งเป้าว่าปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 8 ล้านคน
ส่วนกรณีเงินบาทอ่อนค่าลงเร็วนั้้น รัฐมนตรีคลังกล่าวว่า ไม่ได้สั่งการอะไรเป็นพิเศษ เพราะเป็นหน้าที่ของ ธปท. ส่วนผลกระทบต่อราคาน้ำมันจากการนำเข้านั้น ขณะนี้ราคาน้ำมันได้ลงมาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้วประมาณ 90-95 ดอลลาร์ฯ ซึ่งเป็นระดับที่รัฐบาลบริหารจัดการได้ แต่ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม 2565 อาจส่งผลให้ราคาน้ำมันผันผวนได้ เพราะเป็นฤดูหนาว ซึ่งส่งผลต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพ โดยรัฐบาลพยายามหามาตรการดูแลอยู่ ขณะเดียวกันภาคเอกชนก็ต้องปรับตัวเพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นในการผลิตด้วย
ข้อมูลจาก : TNN ONLINE
ภาพจาก : TNN