LVMH รุกหนักเศรษฐีจีน ลุยเปิดร้านใหม่หลังมีสัญญาณฟื้นตัว

LVMH กลุ่มธุรกิจหรูที่ก่อตั้งโดยมหาเศรษฐี Bernard Arnault เตรียมกลับมาบุกหนักในตลาดจีน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจ ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อีกครั้ง บลูมเบิร์ก รายงานว่า แบรนด์หรูในเครือของ แอลวีเอ็มเอช 4 แบรนด์ ได้แก่ Louis Vuitton, Dior, Tiffany และ Loro Piana มีกำหนดจะเปิดร้านค้าขนาดใหญ่ในกรุงปักกิ่ง ภายในเดือนธันวาคมนี้ หลังจากชะลอการก่อสร้างมาระยะหนึ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้ ยอดขายสินค้าหรูซบเซาลง
สำหรับร้านสาขาแห่งใหม่ ที่จะเปิดตัว บางแห่งจะตั้งอยู่ใน Taikoo Li Sanlitun ศูนย์การค้าที่พัฒนาโดย Swire Properties บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในฮ่องกงและจีน
นอกจากนี้ LVMH ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับ Swire สำหรับร้านสาขาแห่งใหม่ของแบรนด์ Christian Dior ในนครเซี่ยงไฮ้ อีกด้วย คาดว่าจะอยู่ในพื้นที่ของศูนย์การค้าระดับไฮเอนด์ คือ HKRI Taikoo Hui ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่าง Swire และ HKR International
โดยร้านแห่งใหม่ในเซี่ยงไฮ้ของ ดิออร์ คาดว่าจะเปิดดำเนินการ ได้เร็วที่สุด ภายในปี 2027 แม้รายละเอียดยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา แต่มีรายงานว่าจะตั้งอยู่ติดกับ The Louis ร้านขนาดมหึมาของ Louis Vuitton ที่มีการออกแบบโดดเด่นด้วยรูปทรงคล้ายเรือสำราญ ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อช่วงปลายเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา และได้สร้างกระแสความสนใจอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ของจีน
ตามข้อมูลของ Swire เจ้าของพื้นที่ (ผู้พัฒนาโครงการ) เผยว่าห้าง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ The Louis หลังจากเปิดให้บริการ สามารถเพิ่มยอดขายค้าปลีกในไตรมาส 3 ได้ถึง 2 เท่า
ขณะเดียวกัน ยอดขายในห้างสรรพสินค้าหลักของ Swire ทั่วประเทศจีน ก็เห็นการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะที่ปักกิ่ง และเซี่ยงไฮ้ ที่กลับมาเติบโต ทำให้ความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น โดย LVMH ยังคงพิจารณาความร่วมมือเพิ่มเติมกับ สไวร์ ทั้งพื้นที่ถาวร และในแบบชั่วคราว ตลอดจนการจัดอีเวนต์สำคัญต่าง ๆ
ทั้งนี้ การขยายธุรกิจของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสินค้าหรูรายนี้ เกิดขึ้นหลังจากเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่า ภาวะชะลอตัวของตลาดสินค้าหรูในจีนอาจแตะจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังฟื้นตัวอีกครั้ง
เห็นได้จากผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่กลับมาเติบโตได้ โดย LVMH รายงานว่า 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้อยู่ที่ 58,100 ล้านยูโร เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากความต้องการที่ดีขึ้นในตลาดจีน เป็นหลัก
และถือเป็นสัญญาณเชิงบวกสำหรับอุตสาหกรรมสินค้าหรูทั่วโลก ที่กำลังเผชิญกับความต้องการสินค้าระดับสูง ที่ลดลง ภายใต้ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ ซึ่งยังคงมีอยู่
โดย LVMH รายงานว่า ตลาดยุโรปและสหรัฐอเมริกา อยู่ในระดับทรงตัว ญี่ปุ่น มีรายได้ลดลงลง สะท้อนถึงการปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ หลังก่อนหน้านี้เติบโตขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวและการอ่อนค่าของเงิน เยน
ส่วนตลาดเอเชียอื่น ๆ ซึ่งหลัก ๆ คือ จีน พบการฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยกลับมาเติบโตถึงร้อยละ 2 หลังจาก 2 ไตรมาสก่อนหน้า หดตัวไปร้อยละ 6 และ ร้อยละ 11 ตามลำดับ
จากผลประกอบการดังกล่าว Zhou Ting หัวหน้าที่ปรึกษาจากสถาบัน Yaok ให้ความเห็นผ่านสื่อ Beijing Business Today บอกว่า The Louis ซึ่งเป็นความพยายามด้านการตลาดของ หลุยส์ วิตตอง มีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการฟื้นของผลประกอบการ LVMH ในจีน
และในแวดวงสินค้าหรู มองว่า The Louis เป็นกลยุทธ์การกลับเข้าสู่ตลาดจีนอีกครั้งของ LVMH โดยมุ่งไปที่ 2 ประเด็นหลัก คือการเชิดชูมรดกทางวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับการเปิดรับการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคยุคใหม่
อย่างไรก็ตาม ไม่เฉพาะ LVMH เท่านั้น ที่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวในตลาดจีน แต่ กลุ่มธุรกิจหรูรายอื่น ก็เห็นสัญญาณในแบบเดียวกัน อย่าง Kering เจ้าของแบรนด์ Gucci รายงานยอดขายไตรมาส 3 ลดลง น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ รวมถึงผู้นำในวงการค้าปลีกระดับโลกรายหลาย ก็แสดงท่าที เป็นบวกอย่างระมัดระวัง ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวในตลาดที่สำคัญที่สุดแห่งนี้
นั่นทำให้ การเปิดสาขาใหม่ในกรุงปักกิ่งของกลุ่ม LVMH จะถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด และกลายเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ ถึงการฟื้นตัวในตลาดสินค้าหรูของจีน
ขณะที่ Euromonitor International คาดการณ์ว่าตลาดสินค้าหรูของจีน จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยมูลค่าการค้าปลีกในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.13 ล้านล้านหยวน หรือราว 380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากปีที่แล้ว (2024) มีมูลค่า 3.01 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ ผู้บริหาร LVMH ยังได้แสดงจุดยืนในการขยายการลงทุนในจีน ต่อเนื่อง
โดยในช่วงการจัดงาน China International Import Expo ที่นครเซี่ยงไฮ้ สัปดาห์ที่ผ่านมา Marc-Antoine Jamet เลขาธิการทั่วไปของกลุ่ม LVMH กล่าวว่า อนาคตของอุตสาหกรรมสินค้าหรูกำลังถูกหล่อหลอมขึ้นในประเทศจีน และ จีน ถือเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญที่สุด
ปัจจุบัน LVMH ดำเนินธุรกิจในจีนด้วยแบรนด์ในเครือกว่า 46 แบรนด์ และมีร้านค้ากว่า 1,800 สาขา รวมพนักงาน 27,000 คน
เขาบอกอีกว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคชาวจีน กำลังขยับเข้าสู่ตลาดบนอย่างต่อเนื่อง และขับเคลื่อนด้วยความต้องการถึง ควาหมาย คุณภาพ และประสบการณ์ มากกว่าการครอบครองแต่สินค้าเพียงอย่างเดียว จึงทำให้เห็นโอกาสใหม่ ๆ เกิดขึ้นในด้านความงาม ศิลปะ อาหาร และประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและบริษัทจะเดินหน้าลงทุนในตลาดจีนอย่างไม่ลังเล เนื่องจากได้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว แม้ในภาวะที่ยอดขายสินค้าหรูทั่วโลกชะลอตัวลงก็ตาม
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
