The Merge การอัปเกรดเครือข่ายบล็อกเชน Ethereum คืออะไร
อีเธอเรียม (Ethereum) แพลตฟอร์มบนเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) ที่มีการใช้งานมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่ปัจจุบันพัฒนาขึ้นมาเป็นเวอร์ชัน Ethereum 2.0 กำลังก้าวเข้าสู่กระบวนการอัปเกรด The Merge หรือการเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของระบบจาก Proof of Work เป็น Proof of Stake ซึ่งกระบวนการอัปเกรด The Merge จะสามารถทำให้ระบบทำงานได้รวดเร็วมากขึ้นและใช้พลังงานน้อยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blackchain)
เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) มีจุดเด่นในด้านความแข็งแกร่งของระบบที่ยากต่อการทำลาย ความปลอดภัยของข้อมูลสูงยากต่อการปลอมแปลงข้อมูล ข้อมูลถูกจัดเก็บกระจายไปยังโครงข่ายขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วโลกคล้ายใยแมงมุม แม้ว่าหลายคนจะรู้จักเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ถูกใช้งานพัฒนาเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin) แต่ความจริงแล้วเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) สามารถถูกนำไปใช้ในรูปแบบอื่นได้หลายรูปแบบมากกว่าการเป็นเพียงเงินดิจิทัล เช่น ระบบประมวลผลแอปพลิเคชันในรูปแบบต่าง ๆ
อีเธอเรียม (Ethereum)
อีเธอเรียม (Ethereum) แพลตฟอร์มบนเครือข่ายบล็อกเชน (Blockchain) ทำงานในรูปแบบ Smart Contract แบบกระจายอำนาจไร้จุดศูนย์กลาง (Decentralized) เปิดโอกาสให้โปรแกรมเมอร์จากทั่วโลกมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ได้ หรือที่เรียกว่า Decentralized Application ใช้การทำงานแบบกระจายอำนาจไร้จุดศูนย์กลาง (Decentralized) แตกต่างจากแอปพลิเคชันทั่วไป
การทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์มอีเธอเรียม (Ethereum) มีการเก็บค่าธรรมเนียมที่เรียกว่าค่าแก๊ส (Gas) ผู้ใช้งานต้องจ่ายให้กับผู้ประมวลผลการทำธุรกรรมบนแพลตฟอร์ม สำหรับอีเธอเรียม (Ethereum) ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีบล็อกเชนรุ่นที่ 2 ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาและข้อจำกัดของบล็อกเชนรุ่นที่ 1 บิตคอยน์ (Bitcoin)
อีเธอเรียม (Ethereum) แตกต่างจากบิตคอยน์ (Bitcoin) รองรับการทำงานหลายรูปแบบมากกว่าการเป็นเพียงเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) เพียงอย่างเดียว ในขณะเดียวกันอีเธอเรียม (Ethereum) ก็มีเหรียญดิจิทัลชื่อว่า ETH เพื่อใช้งานในระบบอยู่ การทำงานของอีเธอเรียม (Ethereum) มีลักษณะเป็น Proof of Work
การอัปเกรด The Merge
ก่อนหน้านี้อีเธอเรียม (Ethereum) มีการอัปเกรดระบบมาแล้วครั้งหนึ่งเป็นเวอร์ชัน Ethereum 2.0 อย่างไรก็ตามด้วยปริมาณการใช้งานระบบที่มหาศาลประกอบกับเทรนด์เทคโนโลยีที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมลดการใช้ทรัพยากรและพลังงานไฟฟ้าในการประมวลการทำงานของระบบที่มีขนาดใหญ่ ทีมงานนักพัฒนาอีเธอเรียม (Ethereum) จึงมีการวางแผนการอัปเกรดระบบครั้งใหญ่เปลี่ยนจาก Proof of Work เป็น Proof of Stake
ความแตกต่างระหว่างการทำงานแบบ Proof of Work และ Proof of Stake คือ การทำงานแบบ Proof of Work ใช้การใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่แก้สมการที่มีความซับซ้อนโดยใช้กำลังประมวลผลของคอมพิวเตอร์และพลังงานไฟฟ้าปริมาณสูงทั่วโลก ผู้ที่ทำหน้าที่ใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลแก้สมการนี้ถูกเรียกว่า นักขุดเหมือง โดยจะได้รับรางวัลตอบแทนจากการช่วยประมวลผลแก้สมการเป็นเหรียญดิจิทัลหรือ Block Rewards การทำงานในรูปแบบนี้ถูกโจมตีในประเด็นการใช้พลังงานไฟฟ้าและต้นเหตุภาวะโลกร้อน
สำหรับการทำงานแบบ Proof of Stake ใช้วิธีนำเหรียญดิจิทัลไปวางเป็นเงินประกันในระบบ หากมีการตรวจพบการทำงานที่ไม่ถูกต้องหรือความพยายามในการปลอมแปลงข้อมูล แก้ไขข้อมูล เหรียญดิจิทัลที่ถูกวางไว้จะโดนยึดเป็นค่าปรับ เมื่อมีการยึดเงินประกันเกิดขึ้นก็จะเกิดความไม่คุ้มค่าหากมีผู้ที่ต้องการปลอมแปลงข้อมูล กระบวนการดังกล่าวส่งผลดีมีการใช้งานเครือข่ายประมวลผลของระบบ ลดปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการผลิตเหรียญดิจิทัล ETH ลดลง ซึ่งส่งผลต่อราคาของเหรียญในตลาดซื้อขายเงินดิจิทัลหากมีการใช้งานแพลตฟอร์มอีเธอเรียม (Ethereum) เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
ที่มาของข้อมูล ethereum.org bloomberg.com coindesk.com
ที่มาของรูปภาพ unsplash.com