สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ ประเทศไหนหนุนทำแท้ง-แปลงเพศ เข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”

รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกกฎใหม่ที่อาจส่งผลให้ประเทศที่บังคับใช้นโยบายด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม (DEI) ถูกสหรัฐฯ จัดประเภทว่า “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมส่งคำสั่งใหม่นี้ไปยังสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ทั่วโลก เพื่อใช้ประกอบการจัดทำรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของสหรัฐฯ
กฎใหม่ยังระบุด้วยว่า ประเทศที่อุดหนุนบริการทำแท้ง, อำนวยความสะดวกให้เกิดการย้ายถิ่นจำนวนมาก, หรือสนับสนุนการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับเด็ก จะถูกพิจารณาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน มาตรการดังกล่าวถูกวิพากษ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นการ “นิยามสิทธิใหม่เพื่อวัตถุประสงค์ทางอุดมการณ์” ของรัฐบาลทรัมป์
การเปลี่ยนทิศทางใหญ่ของนโยบายสิทธิมนุษยชนสหรัฐฯ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของทิศทางนโยบายสิทธิมนุษยชนของวอชิงตัน และสะท้อนการนำวาระการเมืองภายในประเทศของรัฐบาลทรัมป์ที่มีความขัดแย้งสูงเข้าสู่เวทีต่างประเทศ
เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า กฎใหม่นี้คือ “เครื่องมือเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของรัฐบาลต่างประเทศ” โดยนโยบาย DEI เดิมมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในกลุ่มเชื้อชาติและอัตลักษณ์เฉพาะ แต่ทรัมป์พยายามยุติ DEI ในสหรัฐฯ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยอ้างว่าจะกลับไปสู่ระบบ “โอกาสตามความสามารถ”
เจ้าหน้าที่รายนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ ยังคงยึดถือหลักการสิทธิเสรีภาพตามคำประกาศอิสรภาพที่ว่ามนุษย์ได้รับสิทธิโดย “พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่โดยรัฐบาล”
นโยบายใดบ้าง เข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ใต้กฎใหม่สหรัฐฯ
นโยบายของประเทศอื่นที่สหรัฐฯ จะจัดเป็นการเข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ได้แก่
การอุดหนุนให้ทำแท้ง รวมถึงการระบุตัวเลขการทำแท้งต่อปี
การผ่าตัดหรือใช้สารเพื่อเปลี่ยนเพศเด็ก ซึ่งสหรัฐฯ ระบุว่าเป็น “การทำอันตรายทางเคมีหรือการผ่าตัด”
การอำนวยความสะดวกต่อการอพยพจำนวนมากหรือผิดกฎหมาย ที่ผ่านประเทศไปยังประเทศอื่น
การจับกุม ตรวจสอบ หรือเตือนประชาชนเหตุวิพากษ์วิจารณ์ทางออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์มองว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพในการพูด
ทอมมี พิกอตต์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่าคำสั่งนี้มีขึ้นเพื่อหยุด “อุดมการณ์ทำลายล้าง และรัฐบาลทรัมป์จะไม่ปล่อยให้การละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การทำร้ายเด็กด้วยการผ่าตัด การจำกัดเสรีภาพในการพูด และการเลือกปฏิบัติด้านเชื้อชาติดำเนินต่อไป”
เสียงวิจารณ์ นี่คือ “อาวุธการเมือง”
อุซรา เซยา อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศ และปัจจุบันเป็นประธานองค์กร Human Rights First กล่าวหาว่ารัฐบาลกำลัง “ทำให้สิทธิมนุษยชนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ การพยายามตีความ DEI ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถือเป็นจุดต่ำสุดครั้งใหม่”
เธอยังเสริมว่าคำสั่งใหม่นี้ ละเลยสิทธิของสตรี ชาว LGBTQI+ กลุ่มศาสนาและชาติพันธุ์ส่วนน้อย และผู้ที่ไม่ศรัทธาในศาสนา ทั้งที่ล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกันตามกฎหมายสหรัฐฯ และกฎหมายระหว่างประเทศ เธอระบุว่าคำสั่งใหม่นี้แสดงให้เห็นถึง “ความเป็นปฏิปักษ์อย่างไม่น่าเชื่อ” ต่อกลุ่ม LGBTQI+
รายงานสิทธิมนุษยชนสหรัฐฯ ถูกวิจารณ์ว่าถูก “ลดทอน”
รายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นเอกสารที่ครอบคลุมที่สุดของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งทั่วโลก แต่รายงานฉบับล่าสุดที่ออกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง ถูกเขียนใหม่และลดรายละเอียดลงอย่างมาก
ในรายงานลดการวิจารณ์พันธมิตรของสหรัฐฯ แต่เพิ่มน้ำหนักโจมตีประเทศที่ถูกมองว่าเป็น “คู่แข่ง” ทั้งยังตัดเนื้อหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชันของรัฐบาลและการกดขี่ LGBTQ+ ออกจำนวนมาก
รายงานยังกล่าวด้วยว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี “แย่ลง” เพราะกฎหมายควบคุมวาจาเกลียดชังออนไลน์ (Hate Speech) ซึ่งรัฐบาลทรัมป์และผู้บริหารเทคโนโลยีบางรายเคยโจมตีว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการพูด
Tag
ยอดนิยมในตอนนี้
