รีเซต

สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ ประเทศไหนหนุนทำแท้ง-แปลงเพศ เข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”

สหรัฐฯ ออกกฎใหม่ ประเทศไหนหนุนทำแท้ง-แปลงเพศ เข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”
TNN ช่อง16
21 พฤศจิกายน 2568 ( 14:37 )

รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ออกกฎใหม่ที่อาจส่งผลให้ประเทศที่บังคับใช้นโยบายด้านความหลากหลาย ความเสมอภาค และการมีส่วนร่วม (DEI) ถูกสหรัฐฯ จัดประเภทว่า “ละเมิดสิทธิมนุษยชน”


กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมส่งคำสั่งใหม่นี้ไปยังสถานทูตและสถานกงสุลสหรัฐฯ ทั่วโลก เพื่อใช้ประกอบการจัดทำรายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของสหรัฐฯ


กฎใหม่ยังระบุด้วยว่า ประเทศที่อุดหนุนบริการทำแท้ง, อำนวยความสะดวกให้เกิดการย้ายถิ่นจำนวนมาก, หรือสนับสนุนการผ่าตัดแปลงเพศสำหรับเด็ก จะถูกพิจารณาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นกัน มาตรการดังกล่าวถูกวิพากษ์จากกลุ่มสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นการ “นิยามสิทธิใหม่เพื่อวัตถุประสงค์ทางอุดมการณ์” ของรัฐบาลทรัมป์


การเปลี่ยนทิศทางใหญ่ของนโยบายสิทธิมนุษยชนสหรัฐฯ


การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถือเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ของทิศทางนโยบายสิทธิมนุษยชนของวอชิงตัน และสะท้อนการนำวาระการเมืองภายในประเทศของรัฐบาลทรัมป์ที่มีความขัดแย้งสูงเข้าสู่เวทีต่างประเทศ


เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า กฎใหม่นี้คือ “เครื่องมือเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของรัฐบาลต่างประเทศ” โดยนโยบาย DEI เดิมมีเป้าหมายเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในกลุ่มเชื้อชาติและอัตลักษณ์เฉพาะ แต่ทรัมป์พยายามยุติ DEI ในสหรัฐฯ นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง โดยอ้างว่าจะกลับไปสู่ระบบ “โอกาสตามความสามารถ”


เจ้าหน้าที่รายนี้กล่าวเพิ่มเติมว่า สหรัฐฯ ยังคงยึดถือหลักการสิทธิเสรีภาพตามคำประกาศอิสรภาพที่ว่ามนุษย์ได้รับสิทธิโดย “พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่โดยรัฐบาล”

นโยบายใดบ้าง เข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ใต้กฎใหม่สหรัฐฯ


นโยบายของประเทศอื่นที่สหรัฐฯ จะจัดเป็นการเข้าข่าย “ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ได้แก่

  • การอุดหนุนให้ทำแท้ง รวมถึงการระบุตัวเลขการทำแท้งต่อปี

  • การผ่าตัดหรือใช้สารเพื่อเปลี่ยนเพศเด็ก ซึ่งสหรัฐฯ ระบุว่าเป็น “การทำอันตรายทางเคมีหรือการผ่าตัด”

  • การอำนวยความสะดวกต่อการอพยพจำนวนมากหรือผิดกฎหมาย ที่ผ่านประเทศไปยังประเทศอื่น

  • การจับกุม ตรวจสอบ หรือเตือนประชาชนเหตุวิพากษ์วิจารณ์ทางออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลทรัมป์มองว่าเป็นการละเมิดเสรีภาพในการพูด 


ทอมมี พิกอตต์ โฆษกกระทรวงต่างประเทศ กล่าวว่าคำสั่งนี้มีขึ้นเพื่อหยุด “อุดมการณ์ทำลายล้าง และรัฐบาลทรัมป์จะไม่ปล่อยให้การละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น การทำร้ายเด็กด้วยการผ่าตัด การจำกัดเสรีภาพในการพูด และการเลือกปฏิบัติด้านเชื้อชาติดำเนินต่อไป”


เสียงวิจารณ์ นี่คือ “อาวุธการเมือง”


อุซรา เซยา อดีตเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงต่างประเทศ และปัจจุบันเป็นประธานองค์กร Human Rights First กล่าวหาว่ารัฐบาลกำลัง “ทำให้สิทธิมนุษยชนกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศ การพยายามตีความ DEI ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ถือเป็นจุดต่ำสุดครั้งใหม่”


เธอยังเสริมว่าคำสั่งใหม่นี้ ละเลยสิทธิของสตรี ชาว LGBTQI+ กลุ่มศาสนาและชาติพันธุ์ส่วนน้อย และผู้ที่ไม่ศรัทธาในศาสนา ทั้งที่ล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกันตามกฎหมายสหรัฐฯ และกฎหมายระหว่างประเทศ เธอระบุว่าคำสั่งใหม่นี้แสดงให้เห็นถึง “ความเป็นปฏิปักษ์อย่างไม่น่าเชื่อ” ต่อกลุ่ม LGBTQI+

รายงานสิทธิมนุษยชนสหรัฐฯ ถูกวิจารณ์ว่าถูก “ลดทอน”


รายงานสิทธิมนุษยชนประจำปีของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เคยได้รับการยอมรับว่าเป็นเอกสารที่ครอบคลุมที่สุดของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งทั่วโลก แต่รายงานฉบับล่าสุดที่ออกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง ถูกเขียนใหม่และลดรายละเอียดลงอย่างมาก


ในรายงานลดการวิจารณ์พันธมิตรของสหรัฐฯ แต่เพิ่มน้ำหนักโจมตีประเทศที่ถูกมองว่าเป็น “คู่แข่ง” ทั้งยังตัดเนื้อหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชันของรัฐบาลและการกดขี่ LGBTQ+ ออกจำนวนมาก


รายงานยังกล่าวด้วยว่า สถานการณ์สิทธิมนุษยชนในสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี “แย่ลง” เพราะกฎหมายควบคุมวาจาเกลียดชังออนไลน์ (Hate Speech) ซึ่งรัฐบาลทรัมป์และผู้บริหารเทคโนโลยีบางรายเคยโจมตีว่าเป็นการลิดรอนเสรีภาพในการพูด

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง