รีเซต

เมื่อ Xiaomi ประกาศกร้าว “อีก 5 ปี หุ่นยนต์จะเดินเพ่นพ่านเต็มโรงงาน” เกมใหม่ที่ใหญ่กว่าแค่ขายมือถือ!

เมื่อ Xiaomi ประกาศกร้าว “อีก 5 ปี หุ่นยนต์จะเดินเพ่นพ่านเต็มโรงงาน” เกมใหม่ที่ใหญ่กว่าแค่ขายมือถือ!
epapipe
19 ธันวาคม 2568 ( 21:12 )

มีข่าวล่าสุดที่น่าสนใจของ Xiaomi มาเล่าให้ฟังครับ! บอกเลยว่ารอบนี้ “เหลย จุน” (Lei Jun) CEO คนเก่งของ Xiaomi เขาออกมาปล่อยของชุดใหญ่ ไม่ใช่แค่มือถือหรือรถ EV แล้วนะ แต่เขากำลังพูดถึง “หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์” (Humanoid Robots) หรือหุ่นยนต์รูปร่างมนุษย์ ที่เขามั่นใจมากว่าจะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมโลกภายใน 5 ปีนี้!

 

 

อ่านแล้วขนลุกเลย มันเหมือนเรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคหนัง Sci-Fi เข้าไปทุกที วันนี้เราเลยสรุปสิ่งที่เหลย จุน พูด บวกกับวิเคราะห์สถานการณ์โลกหุ่นยนต์ตอนนี้มาเล่าให้ฟัง ว่าทำไมเรื่องนี้ถึงโคตรสำคัญ และทำไมมันถึงน่าจับตามองกว่า Gadget ทั่วไป

 

 

AI ไม่ใช่แค่ “ของเล่น” แต่มันคือ “หัวใจ” ใหม่ของโรงงาน

เหลย จุน ให้สัมภาษณ์กับ Beijing Daily แบบตรงไปตรงมาเลยว่า AI ตอนนี้มันไม่ใช่แค่ฟีเจอร์เสริมหล่อๆ ในมือถือแล้ว แต่มันคือ “Core Driver” หรือตัวขับเคลื่อนหลักที่จะมารื้อระบบอุตสาหกรรมใหม่ทั้งหมด

เขาได้ยกตัวอย่างที่โรงงานผลิตรถ EV ของ Xiaomi เอง (Xiaomi SU7 ที่กำลังฮอตนั่นแหละ) ปกติการตรวจสอบชิ้นส่วนหล่อขึ้นรูปขนาดใหญ่ (Die-cast components) ถ้าใช้คนตรวจ มันช้าและมีโอกาสพลาดสูงมาก ตามประสา Human Error อะเนอะ แต่พอ Xiaomi เอา AI Vision มาจับคู่กับเครื่อง X-ray รู้ไหมเกิดอะไรขึ้น?

  • ความเร็ว: จากที่เคยใช้เวลานาน เหลือแค่ 2 วินาที!
  • ความแม่นยำ: มากกว่าคนตรวจถึง 5 เท่า!
  • ประสิทธิภาพรวม: เร็วกว่าเดิม 10 เท่า!

นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆ นะ เหลย จุน บอกว่าถ้าเราฝัง AI ลงไปในทุกกระบวนการผลิต มันจะปลดล็อกมูลค่าตลาดอุตสาหกรรมระดับ “ล้านล้านหยวน” (ประมาณ 1.4 แสนล้านดอลลาร์) ได้เลย

 

 

กองทัพหุ่นยนต์: จาก "ตัวโชว์" สู่ "แรงงานจริง"

จำเจ้า CyberOne หุ่นยนต์เดินได้ที่ Xiaomi เอามาโชว์เมื่อปี 2022 ได้มั้ย? ตอนนั้นหลายคนอาจจะมองว่า "โหย ทำมาโชว์เท่ๆ เดินกะเผลกๆ จะไหวเหรอ" แต่หารู้ไม่ นั่นคือการโยนหินถามทาง

เหลย จุน ประกาศชัดเจนว่า ภายใน 5 ปีข้างหน้า เราจะเห็นหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ของ Xiaomi เข้าไปทำงานแทนคนในโรงงานผลิตแบบสเกลใหญ่ (Large Scale) งานไหนที่ซ้ำซาก งานไหนที่เสี่ยง งานสายพานการผลิต หุ่นยนต์จะเหมาหมด

แกยังเตือนสติวงการอุตสาหกรรมจีนด้วยว่า "เลิกคิดจะพึ่งพาแรงงานราคาถูกได้แล้ว" ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว จีนต้องก้าวไปสู่การเป็น Smart Manufacturing หรือการผลิตอัจฉริยะเท่านั้นถึงจะรอดและเป็นผู้นำโลกได้

 

 

Next Station: บุกบ้านพวกเรา!

สิ่งที่พีคกว่าโรงงานคือ "บ้าน" ครับเลยครับ โดย เหลย จุน บอกว่าโรงงานนี่แค่น้ำจิ้ม เป้าหมายที่แท้จริงและตลาดยักษ์ใหญ่กว่าคือ "หุ่นยนต์สำหรับใช้งานในบ้าน"

แต่แกก็ยอมรับนะว่า โจทย์ของบ้านมันยากกว่าโรงงานเยอะ โรงงานมันมีระเบียบ เดินตามเส้นได้ หยิบของจุดเดิมได้ แต่บ้านคนน่ะ... ไหนจะของรก ไหนจะแมววิ่งตัดหน้า ไหนจะพื้นต่างระดับ ความซับซ้อนมันคนละเรื่อง แต่ถ้าทำได้เมื่อไหร่ นี่คือขุมทองมหาศาลที่ใครก็อยากเป็นเจ้าของ

 

 

เจาะลึกแวดวงหุ่นยนต์: ใครกำลังทำอะไร แล้ว Xiaomi อยู่ตรงไหน? 

ทีนี้มาดูกันว่า ในสนามรบนี้ Xiaomi ไม่ได้วิ่งอยู่คนเดียวนะเพื่อน คู่แข่งระดับพระกาฬเพียบ!

  1. Tesla (Optimus): รายนี้คือคู่ปรับโดยตรง Elon Musk ก็ประกาศเหมือนกันว่าจะเอา Optimus มาใช้ในโรงงานผลิตรถ Tesla และขายให้คนทั่วไป ล่าสุดหุ่น Optimus Gen 2 เดินพริ้วขึ้นเยอะ พับผ้าได้แล้วด้วย แนวคิดเดียวกับ Xiaomi เป๊ะ คือ "ผลิตรถได้ ก็ผลิตหุ่นยนต์ได้" เพราะเทคโนโลยีแบตเตอรี่ มอเตอร์ และ AI ขับเคลื่อนอัตโนมัติ มันคือรากฐานเดียวกัน
  2. Figure AI: เจ้านี้มาแรงมาก เพิ่งจับมือกับ BMW เพื่อส่งหุ่นยนต์เข้าไปทำงานในโรงงานผลิตรถยนต์ที่อเมริกา นี่คือคู่แข่งที่เริ่มใช้งานจริงแล้ว แถมได้เงินทุนจาก OpenAI และ Microsoft ด้วย สมองฉลาดแน่นอน
  3. Boston Dynamics (Atlas): ตำนานสายยิมนาสติก รายนี้เพิ่งเปลี่ยนจากระบบไฮดรอลิกมาเป็นไฟฟ้าล้วน (All Electric) เพื่อให้เหมาะกับการใช้งานเชิงพาณิชย์มากขึ้น
  4. Agility Robotics (Digit): เจ้านี้หน้าตาไม่ค่อยเหมือนคนเท่าไหร่ แต่ Amazon เอาไปทดลองใช้แบกของในโกดังเรียบร้อยแล้ว

Xiaomi อยู่ตรงไหน? Xiaomi มาในสไตล์ "Tech Ecosystem" คือมีครบทั้ง Software (AI), Hardware (การผลิตหุ่นยนต์), และ Application (โรงงาน EV ของตัวเอง) จุดแข็งของ Xiaomi คือ "การทำของดีในราคาที่จับต้องได้" และ "สเกลการผลิตที่บ้าคลั่ง" ถ้า Xiaomi เอาจริง เผลอๆ เราอาจจะเห็นหุ่นยนต์ราคาหลักแสนต้นๆ ก่อนค่ายอื่นก็ได้

 

บทวิเคราะห์: ตลาดหุ่นยนต์ ปัจจุบัน และ อนาคต

 

 

สถานการณ์ปัจจุบัน (The Current State)

ตอนนี้เราอยู่ในช่วง "Proof of Concept to Early Adoption" หรือช่วงพิสูจน์ว่าทำได้จริงและเริ่มทดลองใช้

  • จุดเจ็บปวด (Pain Point): โลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แรงงานขาดแคลน ค่าแรงสูงขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ไม่อยากทำงานเสี่ยงตายหรืองานซ้ำซาก
  • เทคโนโลยี: AI ประเภท LLM (Large Language Models) ทำให้หุ่นยนต์ "เข้าใจภาษาคน" และ "เรียนรู้หน้างาน" ได้เอง ไม่ต้องเขียนโปรแกรมสั่งทีละท่าเหมือนเมื่อก่อน นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญ

อนาคตในอีก 5-10 ปี (The Future Outlook)

  1. ราคาจะถูกลงแบบฮวบฮาบ: เหมือนรถ EV แรกๆ แพงระยับ ตอนนี้เริ่มจับต้องได้ หุ่นยนต์ก็เช่นกัน เมื่อมีการผลิตจำนวนมาก ต้นทุนจะลดลง จนโรงงาน SMEs อาจจะซื้อหุ่นยนต์มาช่วยยกของได้
  2. RaaS (Robots as a Service): ในอนาคตเราอาจไม่ต้องซื้อหุ่นยนต์ แต่เช่าหุ่นยนต์รายเดือนมาทำงานบ้าน หรือทำงานในโรงงาน จ่ายค่าแรงให้บริษัทหุ่นยนต์แทน
  3. สงครามชิงข้อมูล: หุ่นยนต์จะเก่งได้ต้องมีข้อมูลมหาศาล ใครส่งหุ่นยนต์ลงตลาดได้ก่อน ก็จะเก็บ Data การเคลื่อนไหวและการแก้ปัญหาได้ก่อน (เหมือนที่ Tesla เก็บข้อมูลการขับขี่) Xiaomi จึงต้องรีบส่งหุ่นลงโรงงานตัวเองเพื่อเทรนให้เก่งก่อนส่งขาย
  4. ภูมิรัฐศาสตร์เทคโนโลยี: จีนพยายามผลักดันเรื่องนี้สุดตัว เพราะต้องการหนีจากกับดัก "โรงงานโลกค่าแรงถูก" ไปเป็น "ผู้ส่งออกเทคโนโลยีชั้นสูง" การที่ Xiaomi กระโดดลงมาเล่นเต็มตัว เป็นจิ๊กซอว์สำคัญของแผนระดับชาติจีนเลยทีเดียว

 

 

โดยสรุปแล้ว คำพูดของเหลย จุน ไม่ใช่แค่คำโม้ขายของ แต่มันคือ "สัญญาณเตือน" ว่าโลกการทำงานกำลังจะเปลี่ยนไป การที่บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Xiaomi, Tesla, BMW ขยับตัวไปทิศทางเดียวกัน แปลว่า "มันมาแน่"

อีก 5 ปีข้างหน้า เราอาจจะเดินเข้าโรงงานแล้วเจอหุ่นยนต์ยืนประกอบรถ หรือกลับบ้านมาเจอหุ่นยนต์ Xiaomi พับผ้ากองโตให้เราอยู่ก็ได้ เตรียมตัวรับมือกับยุค AI + Robotics ไว้ให้ดี โลกมันหมุนเร็วกว่าที่เราคิดเยอะ!

Photo Credit : AI Generated

ยอดนิยมในตอนนี้

แท็กยอดนิยม

ข่าวที่เกี่ยวข้อง