การกลับมาทวงบัลลังก์ AI ของ Google ด้วย Gemini 3 และชิป TPU เขย่าโลก!
หลังจากการมาถึงของ ChatGPT เมื่อสามปีก่อน โลกเทคโนโลยีต่างมองว่า Google ผู้เคยเป็นยักษ์ใหญ่แห่งวงการวิจัย AI ต้องกลายเป็น "ผู้ตาม" ที่เชื่องช้าลงไปอย่างน่าใจหาย ทั้งนักวิเคราะห์ วิศวกรภายใน และอดีตผู้บริหารหลายคนต่างตั้งคำถามอย่างเปิดเผยว่า Google กำลังจะเสียตำแหน่งผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคตให้กับคู่แข่งรุ่นใหม่อย่าง OpenAI ไปอย่างง่ายดายแล้วจริงหรือ? ทว่า...ภาพนั้นกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ว่าทุกคนต้องหันกลับมามองอีกครั้ง เพราะ Google ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าศักยภาพอันมหาศาลที่เคยมีนั้นไม่ได้หายไปไหน และที่สำคัญกว่าคือ "มันกลับมาแล้วอย่างทรงพลังยิ่งกว่าเดิม" การฟื้นคืนชีพครั้งนี้ไม่ได้มาแค่ซอฟต์แวร์ แต่มาพร้อมกับสัญญาณเชิงบวกที่สั่นสะเทือนมูลค่าตลาดของบริษัท Alphabet จนพุ่งขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน!
Gemini 3: ไพ่ใบสำคัญที่พลิกเกม
จุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดคือการเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ล่าสุดอย่าง Gemini 3 ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมอย่างกึกก้องจากวงการเทคโนโลยี โมเดลนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เหนือกว่าในหลายด้าน โดยเฉพาะด้าน ความสามารถเชิงเหตุผล (Reasoning), การเขียนโค้ด (Coding), และความแม่นยำในงานเฉพาะทาง ที่มักเป็น "จุดบอด" ของแชตบอท AI รุ่นก่อนหน้า นักวิจัยชื่อดังอย่าง Andrej Karpathy ถึงกับยกให้ Gemini 3 Pro เป็นโมเดลระดับ “Tier 1” ที่ขึ้นแท่นผู้นำในหลายกระดานจัดอันดับ การมาของ Gemini 3 ไม่ได้เป็นเพียงการ "ตามทัน" คู่แข่ง แต่เป็นการ "กลับมาทวงคืน" ตำแหน่งผู้นำด้านประสิทธิภาพของโมเดล AI ระดับโลก และในขณะที่ Google กำลังรุกคืบในด้านซอฟต์แวร์ ธุรกิจ Google Cloud ซึ่งเคยเป็นผู้ตามก็เติบโตอย่างต่อเนื่องจากความต้องการสร้างบริการ AI และความต้องการพลังประมวลผลมหาศาลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก
ชิป TPU และดีล Meta: สัญญาณแห่งการพึ่งพาตนเองที่เขย่า Nvidia
สัญญาณที่บ่งบอกถึงการกลับมาอย่างแท้จริงของ Google คือความเชื่อมั่นจากบริษัทยักษ์ใหญ่ภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมรภูมิของฮาร์ดแวร์ AI ชิป TPU (Tensor Processing Unit) ของ Google ซึ่งเป็นตัวเลือกไม่กี่รายที่สามารถท้าชนกับชิปประมวลผลของ Nvidia ได้ กำลังได้รับความสนใจอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน รายงานล่าสุดที่ว่า Meta (บริษัทแม่ของ Facebook) กำลังเจรจาเพื่อนำชิป TPU ของ Google ไปใช้งานในปี ค.ศ. 2027 ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดถึงศักยภาพของฮาร์ดแวร์จากค่าย Google
การที่ผู้เล่นรายใหญ่อย่าง Meta และก่อนหน้านี้คือ Anthropic (ซึ่งใช้ TPU มากถึง 1 ล้านตัว) เริ่มหันมาพึ่งพาชิปของ Google สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทต่าง ๆ พร้อมยอมรับการ "ล็อกอิน" อยู่ในระบบคลาวด์ของ Google มากขึ้น เพื่อแลกกับความสามารถในการประมวลผล AI ระดับสูงที่คุ้มค่ากว่า นี่คือความพยายามของอุตสาหกรรมในการ ลดการพึ่งพา Nvidia ที่ผูกขาดตลาดชิป AI ไว้เกือบทั้งหมด การที่ Google สามารถควบคุมได้ตั้งแต่ ชิปประมวลผล, โครงสร้างพื้นฐาน, โมเดลซอฟต์แวร์ ไปจนถึงแอปพลิเคชัน AI ทำให้บริษัทมีความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เหนือผู้เล่นอื่น ๆ ในตลาด
สัญญาณบวกจากตลาด: เมื่อยักษ์ใหญ่ตื่น หุ้นก็พุ่ง!
การฟื้นตัวของ Google ส่งผลกระทบต่อตลาดอย่างรวดเร็ว หุ้น Alphabet พุ่งขึ้นอย่างโดดเด่น จนบริษัทมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไม่ได้มาจากแค่ Gemini 3 และดีล TPU เท่านั้น แต่ยังมาจากปัจจัยเสริมอื่น ๆ เช่น การที่มหาเศรษฐีนักลงทุนอย่าง Warren Buffett เข้าถือหุ้นในช่วงไตรมาสสาม และความคาดหวังต่อแผน AI เชิงรุกของบริษัท นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า Google คือ “ม้ามืด” ที่แท้จริง ที่แม้จะดูนิ่ง แต่มีทรัพยากรและเครื่องมือที่เหนือกว่าใคร ทั้งฐานข้อมูลมหาศาลจาก Search, Android, และ YouTube, โครงสร้างระบบคลาวด์ครบวงจร, และรายได้ที่มั่นคงที่ช่วยให้การวิจัยเดินหน้าได้ตลอด
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่ที่เคยลงทุนไว้แต่เนิ่น ๆ อย่าง Waymo (แท็กซี่ไร้คนขับ) ซึ่งเพิ่มพื้นที่ให้บริการและเริ่มเปิดวิ่งบนทางหลวง แสดงให้เห็นว่าการลงทุนระยะยาวเริ่มออกผลเชิงพาณิชย์มากขึ้นเรื่อย ๆ
ผลกระทบต่อตลาด AI และอนาคตของ Google
ผลกระทบต่อตลาด AI: ยุคแห่งการแข่งขันด้านฮาร์ดแวร์
การกลับมาของ Google ในครั้งนี้กำลังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสำคัญในตลาด AI ดังนี้
- สมรภูมิชิปที่ดุเดือด: การที่ Meta และ Anthropic หันมาใช้ TPU เป็นการประกาศว่าตลาด AI กำลังเข้าสู่ยุคที่ผู้ให้บริการคลาวด์ต้องแข่งกันพัฒนาฮาร์ดแวร์ประมวลผลของตัวเอง (Hyperscaler Chip War) ซึ่งจะช่วยลดการผูกขาดของ Nvidia และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้พัฒนา AI ทั่วโลก
- การรวมศูนย์ของอำนาจ: Google กำลังแสดงให้เห็นถึงรูปแบบธุรกิจแบบครบวงจร (Full-Stack AI) ที่ควบคุมตั้งแต่ชิป, โครงสร้างพื้นฐาน, โมเดล, ไปจนถึงแอปพลิเคชัน ซึ่งจะทำให้บริษัทมีความได้เปรียบด้านต้นทุนและประสิทธิภาพในการให้บริการ AI แก่ลูกค้าองค์กร
- ความน่าเชื่อถือเหนือความเร็ว: แม้ว่าในด้านผู้ใช้ทั่วไป Google Gemini จะยังตามหลัง ChatGPT ในแง่ของจำนวนผู้ใช้งานและยอดดาวน์โหลดแอปฯ อยู่บ้าง แต่ในสายตาของบริษัทขนาดใหญ่ ความน่าเชื่อถือ (Reliability), ความปลอดภัย, และประสิทธิภาพ ในการประมวลผลปริมาณมากกำลังกลายเป็นปัจจัยสำคัญ และนี่คือจุดที่ Google มีศักยภาพเหนือคู่แข่งหลายราย
การจัดการความเสี่ยงและการเดินหน้าต่อ
การฟื้นตัวของ Google ไม่ได้เกิดขึ้นโดยปราศจากความเสี่ยง ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับโครงสร้างด้าน AI โดยรวมทีมทั้งหมดไปอยู่ภายใต้การนำของ Demis Hassabis หัวเรือใหญ่ของ DeepMind ซึ่งแม้จะมีช่วงผิดพลาด (เช่น ปัญหาในการสร้างภาพจาก AI) แต่การรวมทรัพยากรเข้าด้วยกันทำให้การพัฒนารวดเร็วและมีทิศทางที่ชัดเจนขึ้น Hassabis ยังเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยดึงดูดและรักษาวิศวกรเก่งระดับโลกไว้ในบริษัทได้สำเร็จ
ท้ายที่สุด Thomas Husson จาก Forrester ได้สรุปสถานการณ์นี้ไว้อย่างน่าสนใจว่า “Google กลับมาสู่เกมแล้วอย่างเต็มตัว” และคำกล่าวที่ว่า Google กำลังจะตายจากเวทีเทคโนโลยีนั้นไม่เพียงเกินจริง แต่แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความจริงเลยในวันนี้ Google อาจจะเคยดูเหมือนหลับใหล แต่ตอนนี้ยักษ์ใหญ่ได้ตื่นขึ้นแล้ว และพร้อมจะสู้ในศึก AI ที่ดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์เทคโนโลยีร่วมสมัย
นี่คือยุคที่ Google กลับมาประกาศตัวชัดเจนว่า พวกเขายังคงเป็นผู้กำหนดทิศทางของอนาคต AI อย่างแท้จริง!
Photo Credit : AI Generated