'สุชัชวีร์' เปิดใจหลังจบศึกผู้ว่าฯ เผยมุมมองคนแพ้เป็น-อนาคตไม่ปฏิเสธการเมือง
“พี่เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของ 254,723 เสียง เฉือนเข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 2 มาเปิดใจภาคพิเศษ กับ 2 พิธีคู่หู เอ็กซ์-อ๊อก ผ่าน The Politics ข่าวบ้านการเมือง เครือมติชน หลังเฉือนเข้าเส้นชัย มาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยคะแนน 254,723 เสียง
2 สัปดาห์หลังเสร็จศึกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ชนะด้วยคะแนน 1.3 ล้านเสียง ได้เข้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เริ่มงานตามมติที่ชาวกรุงเทพมอบให้เป็นที่เรียบร้อย
ขณะที่ พี่เอ้ ผู้แพ้ ได้พักผ่อน หลังลุยลงพื้นที่ต่อเนื่องเป็นเวลากว่า 6 เดือน และตอบรับมาให้สัมภาษณ์ยาวๆ เล่าย้อนไปในช่วงที่เป็นผู้สมัคร ลงหาเสียง และมองไปข้างหน้าถึงอนาคตทางการเมืองของตัวเองด้วย
- หายเหนื่อยหรือ ?
หายเหนื่อยแล้ว ได้นอนเต็มๆตื่นสักวันก็โอเค หายเหนื่อย สบายๆ เพราะสิ่งที่ต้องการทำมากที่สุดคือการนอน เพราะช่วงที่ผ่านมา นอนไม่เป็นเวลา บางวันเดินทั้งวัน แล้วมาดีเบต เครื่องมันร้อนมาก กว่าจะคูล ดาวน์ลงมาได้ ได้นอนก็ตี 1 ตี 2 พอตี 4 ก็ต้องออกจากบ้านอีกแล้ว เป็นแบบนี้ทุกวัน จนบางทีไม่ได้คิดอะไร มันต้องเดินหน้าต่อไปแบบนี้ พอได้นอนเต็มตื่นสักวันก็สดชื่นขึ้นเยอะ
- น้ำหนักลดไหม ?
ตอนเดินน้ำหนักลดจริงๆ 4 กิโลกว่า แต่ก่อนไม่เชื่อว่าเดินแล้วน้ำหนักลด เพราะคิดว่าต้องวิ่ง การเดินน้ำหนักลดจริงๆ เสื้อผ้านี่หลวมไปหมดเลย แต่ตอนนี้ก็กลับขึ้นมา หลายๆอย่างตอนเดินก็ไม่ได้ทาน ตอนนี้กลับบ้านตอนกลางคืนต้องทุเรียนก่อนนอนขึ้นเลย (หัวเราะ)
อยากกิน กินเต็มที่เลย ตอนช่วงหาเสียงมีหลายร้านอยากจะแวะ แวะไม่ได้ อยากจะซื้อก็ซื้อไม่ได้หลายตลาด เพราะต้องระวังช่วงหาเสียงอยู่ เกรงว่า จะผิดกฎหมาย ตอนนี้เป็นอิสระแล้วก็กลับไป
- เห็นในเฟสบุ๊กเริ่มตะลอนกิน ตะลอนทำบุญ ?
ใช่ๆ ทำบุญก็ชอบอยู่แล้ว พอเสร็จงานหลายคนก็บอกอยากให้สบายใจ ไปวัดโน้นวัดนี่ เรียกว่า ไปวัดทุกวันเลย
- เล่าเบื้องหลังตอนหาเสียงในแต่ละวันเป็นอย่างไรบ้าง ?
มันแล้วแต่วัน จะมีทีมซึ่งส่วนใหญ่จะประสานกับผู้สมัครส.ก. ตั้งแต่ว่าก่อนได้เบอร์จะต้องไปให้ครบ 50 เขต ไปแรกๆไม่ได้หาเสียง แต่ไปเพื่อรับรู้ปัญหาจริงๆ ไปดูปัญหาจริงๆแล้วก็นำเสนอวิธีแก้ปัญหา ไปที่กำแพงแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทะลักเข้ามาก็สเกตภาพแนวทางแก้ปัญหา ไปที่โรงเรียนเห็นปัญหา ทำกับข้าวส่งเด็ก 20 บาทมันไม่พอ มีวิญญาณไก่ เราก็คิดว่า จะเสนอเป็น 40 บาท เพราะเราคิดว่ามันพอ เป็นแบบนั้น
เพราะฉะนั้นมันอยู่ที่ตารางด้วย แต่ถ้าวันไหนข้ามเมือง ผมอยู่ลาดกระบัง บางทีต้องไปบางขุนเทียน ใช้เวลา 2 ชั่วโมง แล้วไปงานตอนเช้าเช่นไปที่วัดอะไรต่างๆ ก็ต้องตื่นตี 4 เป็นส่วนใหญ่เลย ไปเดินตลาดนี่ต้องยิ่งไปตอนเช้า กลับบ้านบางวันไม่น่าเชื่อตี 2 ก็มี บางวันไม่ได้นอนก็มี แต่ไม่ทุกวัน เพราะว่าตอนเย็นก็มีการสรุปงานกันต่อ เพราะว่าเราอยากจะรู้ว่า แต่ละวันเราติดปัญหาอะไรบ้าง แต่ละวันมันจะเร็วมาก
ดังนั้น คนที่จะมาลงผู้ว่ากทม.เตรียมตัว 6 เดือนมันน้อยไป เพราะเรื่องแรกเลยคนไม่รู้จักเรา 6 เดือนเวลาจะเปลี่ยนอะไรมันไม่ทัน ต้องมีเวลามากกว่านั้น บางคนเขาลงน้อยกว่าเรา แต่เขามีประสิทธิภาพเรื่องอื่นๆ เช่นการใช้โซเชียลมีเดีย เป็นต้น เพราะระบบการหาเสียงมันแตกต่างกันไป
- หลังจากผลการเลือกตั้งออกมาได้คุยกับอาจารย์ชัชชาติบ้างหรือเปล่า ?
ผมเป็นคนแรกที่โทรหาพี่ชัชชาติเลย คือตอนที่เราแข็งขันก็คิดว่า ทำให้ดีที่สุด แต่พอเริ่มนับคะแนนสักพัก เห็นคะแนนของพี่ชัชชาติเขาโดด แล้วมั่นใจว่า พี่ชัชชาติจะชนะ ก็เป็นคนแรกที่โทรหาพี่ชัชชาติ โทรเลย
ปกติรู้จักกัน มีเบอร์ส่วนตัวกันมานานแล้ว สายวิศวะด้วยกัน แต่ไม่ทันกัน เพราะพี่ชัชชาติจะทิ้งช่วงหลายปีหน่อย ประมาณ 6-7 ปี แต่มีเบอร์ เจอกันในหลายงานอยู่ ก็โทรหาบอกพี่ชัชชาติสุดยอดมาก ยินดีด้วยนะครับ
– ถ้าอาจารย์ชัชชาติชวนไปร่วมงานยินดีไปไหม ?
ถ้าไม่ได้ เพราะพี่ชัชชาติเขาไม่ได้ชวน
แต่ถ้าเกิดมีอะไร ให้เสนออะไรต่างๆ ผมคิดว่า มันเป็นหน้าที่ อันนี้เป็นเรื่องสำคัญเลย เราต้องช่วย เพราะว่าสิ่งที่ผมเข้ามาในการเมือง อยากทำอะไรให้เป็นสากล ตอนเปิดตัวก็มีครอบครัว มีคุณพ่อ คุณแม่ มีภรรยา ตอนลงหาเสียงก็มีภรรยาไปช่วย ทุกอย่างต้องเปิดเผยไปด้วยกัน ถ้าจบแล้วต้องเหมือนกีฬา ต้องสนับสนุนผู้ชนะ เหมือนกับฟุตบอล ถ้าเกิดเราแพ้ แล้วคนที่ชนะเราไปได้แชมป์แชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เราจะดีใจมาก เพราะเราแพ้ผู้ที่ได้แชมป์
คือผมคิดแบบนี้ เพราะฉะนั้นแล้ว ถ้ามีอะไรช่วยได้เราต้องช่วย
- มีอะไรอยากฝากให้อาจารย์ชัชชาติช่วยพิจารณาไหม ?
แน่นอน ข้อแรก เรื่องฝนตกน้ำท่วม คิดแบบเดิมทำแบบเก่า แก้ไม่ได้ ขุดคลองลอกท่ออย่างเดียว ไม่ใช่ทางออกของกรุงเทพ ไม่มีทาง หรือน้ำทะเลหนุน กรุงเทพจะใช้วิธีคิดแบบเดิมไม่มีทาง มันต้องเรียนรู้จากบ้านเมืองที่เขาประสบความสำเร็จมาทำ ไม่งั้นแล้ว 4 ปีแป๊บเดียว สุดท้ายเราก็ต้องมีคุยเรื่องน้ำท่วมใหม่ บางทีจะยิ่งยากขึ้น จึงอยากให้ท่านผู้ว่า พี่ชัชชาติได้ทำสิ่งใหม่ๆ เหมือนบ้านเมืองอื่นบ้าง เพราะทำแบบเดิมพิสูจน์แล้วว่าทำไม่ได้
ข้อสอง เรื่องอินเตอร์เน็ตฟรีจำเป็นมาก มันจะทำให้กรุงเทพมันจั๊มสตาร์ดเลย
ข้อสาม การศึกษาแน่นอน เพราะเป็นอะไรที่ผมรู้สึกว่า ยิ่งเดินยิ่งเห็นว่า การศึกษาของกรุงเทพมันเสียโอกาสมาก อยากให้โรงเรียนกทม.เป็นโรงเรียนใกล้บ้านที่ดีจริงๆ
มีหลายเรื่อง แต่พี่เขางานเยอะอยู่แล้ว ถ้าเกิดจะมีก็ 3 เรื่องนี้แหละ
- รู้สึกยังไงมีคนตั้งฉายาให้ว่า พี่เอ้ ไวไฟฟรี ?
รู้สึกดีนะ ถามว่า โกรธไหม ถ้าเกิดมาอยู่ตรงนี้ ผมโดนมาเยอะนะ คือเป็นหน้าใหม่คนเดียวเลย มะรุมมะตุ้มโดนทุกรูปแบบเลย โกธรไม่ได้หรอก ไม่โกรธเลย ถ้าเกิดโกรธนี่ เวลานอนก็ไม่พออยู่แล้ว คงไม่ได้หลับไปอีก ดังนั้นเขาจะเรียกว่าอะไร มันเป็นสิทธิของเขา
อย่างที่บอก มาอยู่ตรงนี้ไม่มีใครด้อยค่าเราได้หรอก นอกจากตัวเราเอง ถ้าเกิดเราคิดว่า เราออกมาจากเจตนาที่บริสุทธิ์ อยากเห็นบ้านนี้เมืองนี้มันเปลี่ยน แล้วเรามาเสนอตัว เมื่อไม่ได้เราก็ต้องเป็นสุภาพบุรุษ สนับสนุนคนที่ได้
แล้วเช่นเดียวกันอะไรที่เรานำเสนอ แล้วจะถูกล้อ นำมาเป็นมีมก็อย่าไปโกรธเขา ยิ่งโดยเฉพาะฉายาพี่เอ้ ไวไฟฟรียิ่งชอบนะ อันนี้มองในแง่ดีเลยนะ แล้วเชื่อเถอะวันหนึ่งมันจำเป็น วันนี้ที่ฟิลิปปินส์ สตาร์ลิงก์ของอีลอนมัสก์เปิดใช้แล้วเห็นไหม เมืองไทยยังไม่ไปไหนเลย การเริ่มที่กรุงเทพ มันคุ้ม เพราะอยู่กันแน่น ถ้าเกิดอยู่ต่างจังหวัด อาจจะมีคำถามเรื่องการไม่คุ้มค่า
- จากวันลงรับเลือกตั้งผู้ว่าฯมาถึงวันนี้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม ?
เปลี่ยนเลย เปลี่ยนเยอะมาก ที่ผ่านมาเราคิดว่า เราทนทานแล้วนะ เพราะชีวิตกว่าจะมาถึงวันนี้ก็ทำมาหลายเรื่อง อย่างที่ทุกคนรู้ อย่างด้านงานวิศวะกรรม งานการศึกษา คนเรียกเรา The Disruptor ผู้สร้างความเปลี่ยนแปลง เราก็ว่า เราทนแล้วนะ
แต่ 5-6 เดือนที่ผ่านมา เราทนได้มากกว่าที่คิดเลย มากๆเลย ใจนิ่งขึ้นเยอะ ทั้งๆที่เป็นคนใจร้อน บางทีเห็นแล้วอยากจะทำ แต่วันนี้มันนิ่ง ยิ่งในสภาวะที่นอนน้อยมาก เรายังสามารถทดสอบร่างกายว่า เรายังไปได้สุด แล้วเวทีดีเบตทุกเวที เราพยายามจะทำให้ดีที่สุด เดินก็ต้องเดินให้ดีที่สุด เพราะร่างกายเราผ่าน จิตใจเราผ่าน สมองเราก็พอผ่าน เพราะเจอพิธีการหินๆ ตั้งคำถามในวันที่ไม่ได้นอนมาเลย เดินเป็น 10 ชั่วโมง ก็เอาตัวรอดได้
สิ่งสำคัญที่เราเห็นเลยคือ คนกรุงเทพ เราต้องช่วยอีกเยอะเลย มันเป็นเรื่องของทุกคนเลยที่ต้องช่วย ใครก็ตามไม่จำเป้นต้องสมัครผู้ว่า ถ้ามีศักยภาพจะช่วยประเทศได้ ผมว่าต้องมาทำแล้วหละ เพราะความต้องการความช่วยเหลือมันเยอะจริงๆ
- หลังจบเลือกตั้งรู้สึกว่า มีคนรู้จักขึ้นเยอะไหม ?
เยอะมาก วันก่อนไปจอดรถที่วัดปทุมคงคา นัดกับอดีตส.ส. พี่ตุ๋ย อรอนงค์ กาญจนชูศักดิ์ไว้ พอจอดรถเสร็จเดิมออกมา พี่น้องที่เขานั่งก็กวักมือเรียกพี่เอ้ เดินไปที่ร้านกาแฟคนก็กวักมือตลอด ไปที่ไหนคนรู้จัก ก็ดีใจ แม้ส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้เลือกเรา แต่สายตาเขาไม่ได้รังเกียรติ สายตาเขาเป็นมิตร มีบ้างที่ฝากปัญหา
- มีรู้จักมากขึ้น จะเป็นฐานสำหรับทำการเมืองต่อไปไหม ?
ไม่ได้มันก็เสียใจ เสียใจมากนะ เพราะผมตั้งใจมากอยากจะได้ อยากจะเป็น อยากจะทำ แต่เมื่อไม่ได้ก็ต้องเข้าใจ เพราะฟุตบอลจบแล้ว แต่สิ่งที่ได้มากก็อย่างที่บอก สายตาคนที่มองเรา ระหว่างการแข่งขันที่ดุเดือด แล้วยิ่งการเมืองยุคที่แบ่งข้าง บางทีเราก็โดนอะไรหลายๆอย่างที่เราไม่ควรจะโดน
แต่พอมันผ่านไปแล้วสายตาเขาก็ไม่ได้มองเหมือนเป็นคู่แข่งกับคนที่เขาชอบ สายตาเขาเป็นมิตร แล้วเขาก็ยังมาแนะนำ ที่สำคัญเลยเขามาจับมือ มาให้กำลังใจ รู้สึกตรงนี้มากกว่า
ยอมรับเลยว่า ตอนแพ้ทำตัวไม่ถูก จะออกจากบ้านดีหรือเปล่า มันมีความสับสนเหมือนกันว่า เขาจะคิดอะไร เพราะก่อนเข้ามามีคนบอกว่า แข่งการเมือง เหมือนไก่ชน ชนะก็แห่ ถ้าแพ้ลงหม้อ เขาพูดแบบนี้กับผมเลย คนๆนี้เป็นนักการเมืองที่มีชื่อเสียงด้วย วันนั้นจึงคิดถึงคำว่านี้ว่า เราลงหม้อหรือยัง หรือต้องอยู่ในมุมมืดๆ
เราจะทำยังไงก็คิดไม่ออกเหมือนกัน เพราะเราไม่มีประสบการณ์ด้านนี้ แต่พอออกไปทานข้าวใช้ชีวิตปกติสุขเลย แบบง่ายๆเรียบๆ เออมันไม่เหมือนที่เขาพูด รู้สึกสังคมยังให้โอกาสเรา
- วันนั้นเห็นคะแนนห่างแบบนั้น กลับบ้านนอนหลับไหม ?
หลับสนิทเลย เชื่อว่าคนที่ไม่ได้ หรือได้เขาคงรู้สึกว่า ทำหน้าที่จบแล้ว นอนหลับหมด จะนอนไม่หลับก็คือคืนต่อๆไป เมื่อเราได้กลับมานั่งคิดว่า เราทำไรผิดเปล่า เราจะทำอะไรได้ดีกว่านั้นไหม มันจะเริ่มมา ทุกคนแหละผมคิดว่าเป็น มานั่งถามตัวเองว่า เขาไม่เข้าใจเราเพราะอะไร เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า
สิ่งเหล่านี้เป็นปกติของมนุษย์นะ ถามตัวเองว่า จะทำได้ดีกว่านี้ไหม แต่สักพักเพื่อนๆก็กวักว่า หยุดๆ เพื่อนๆโทรมาหา ไปโน้นไปนี่ก็ได้ผ่อนคลาย
ลูกก็มาเล่นด้วย ภรรยาก็บอกว่า เล่นกับลูกก็อยู่กับลูกนะไม่ต้องไปคิดอะไร (หัวเราะ) เพราะกลัวเราคิดเยอะ แต่ตอนนี้ลืมไปหมดแล้ว สัปดาห์แรกพักผ่อน เริ่มงง พอเข้าสัปดาห์ที่ 2 เริ่มสบาย โล่งทุกอย่าง
- ประเมินผลงานของตัวเองอย่างไร ?
สถานการณ์ของผู้แพ้ก็ต้องบอกว่า ไม่ดีหรอก จะบอกว่าดีไม่ได้ เราต้องมาประเมิน แต่การประเมิน ประเมินคนเดียวก็มันไม่ได้ เพราะจะมีอคติ แล้วการประเมินอาจจะใช้เวลาหลังจากนั้นเป็นเดือนๆ เพราะมิเช่นนั้นก็อาจจะหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเดิมๆ อาจจะต้องทิ้งช่วงไปนิดหน่อยถึงจะประเมินได้ แต่แน่ละทำดีมันก็ต้องได้ผลที่ดีกว่านี้ แต่มันมีช่องว่างที่เราสามารถเติมเต็มได้ ยิ่งไปเทียบกับผู้ชนะจะเห็นว่า ช่องว่างเขาน้อยกว่าเรา เขาได้ดีมากๆ
- คนมองว่า สนามแรกในทางการเมือง ได้ที่ 2 ก็ไม่ธรรมดานะ
ดีใจมาก ทุกคนพูดแบบนี้หมด เพราะเราเป็นหน้าใหม่จริงๆ ใหม่สุดๆ แล้วทีมงานใหม่สุดหมดเลย เริ่มต้นพร้อมกันหมด ไม่มีใครเกี่ยวข้องกับการเมืองเลย ถ้าเกิดวัดแบบนั้นก็ถือว่า โอเค แต่พูดแบบนี้ไม่ได้ เพราะเมื่อมาแข่งขันก็ต้องทำให้ดีที่สุด แล้วการแข่งขันก็ต้องการชนะ แต่ส่วนตัวดีใจ ว่าได้เท่านี้มหัศจรรย์แล้ว เจออะไรก็ไม่รู้เยอะแยะไปหมด เยอะมาก มาได้เป็นที่ 2 ดีใจด้วยแล้ว คนก็ให้กำลังใจแบบนี้
- อะไรที่ทำให้ตัวเองขยับมาถึงจุดนี้ได้ ?
ตอบยากมาก หลายๆอย่างร่วมกัน ตัวเองก็มีผล พรรคก็มีผล แฟนคลับพรรคก็มีอยู่ หรือทีมส.ก.ที่พาลงพื้นที่ที่มีปัญหา แล้วก็ถูกอกถูกใจชาวบ้าน มีผลหมดทุกอย่างเลย
- อับดับ 2 กับ 3 ลุ้นกันมาก ?
ห่างกัน 1 คะแนนก็มี แล้วมีคนโทรหาผมด้วยว่า เอ้ๆ 1 คะแนนนั้น พี่เองนะ (หัวเราะ) น่ารักมาก เขาก็ให้กำลังใจ กว่าจะรู้ก็ตี 2 ที่ซึ้งในมาก คนในแคมเปญไม่มีใครกลับบ้านเลย จนกว่าจะนับ 100 % แล้วนั่งกันเบียด นั่งดูจอลุ้นคะแนนกัน เป็นบรรยากาศที่น่าจดจำ
- วินาทีที่รู้ว่าจะได้อันดับ 2 ?
วันนั้นไม่ได้คิดหรอก เห็นผลก็จะกลับบ้านพักผ่อนแล้ว แต่ว่าทีมไม่มีใครกลับเลยก็เลยอยู่ต่อจนครบ 100 % เลย
- มีโอกาที่จะไปต่อสนามที่ใหญ่ขึ้น หรือมีตำแหน่งอื่นๆก่อนเป็นการทดลองงาน ?
ตอนนี้ยังไม่มีอะไรชัดเจนจริงๆ อย่างที่บอกเพิ่งจะ 2 สัปดาห์ผ่านมา ส่วนเรื่องการเมืองเป็นเรื่องของทางพรรคแล้วว่าจะเป็นอย่างไร แต่โดยส่วนตัวอยากทำงาน มาถึงวันนี้เราอยากนำศักยภาพของเราที่มี อยากทำงาน อะไรที่เป็นประโยชน์ของประเทศอยากทำจริงๆ แต่ไม่รู้จะเป็นอะไร แต่จะเป็นตำแหน่งการเมืองหรือไม่ก็คงไม่ใช่หน้าที่เราแล้ว เปHนหน้าที่ของพรรคที่เขาต้องดูตรงนี้
แต่วันนี้หลังจากที่มึนๆ ตอนนี้นิ่งแล้ว แต่สิ่งที่อยากทำคือการช่วยรพ.เจ้าคุณทหารลาดกระบัง อยากจะช่วย เพราะเป็นรพ.ที่เราตั้งใจ เป็นรพ.ของมหาวิทยาลัย ผมก็ยังเป็นประธานมูลนิธิอยู่ เราได้เงินจากการบริจาคทั้งสิ้นเลย ตอกเข็มเสร็จแล้วกำลังจะขึ้นก็ต้องไปช่วยระดมทุนอีก อันนี้ตั้งใจจะเริ่มทำตั้งแต่วันนี้พรุ่งนี้เลย แล้วจะช่วยรพ.จนตายเลย ส่วนเรื่องการศึกษาก็สนใจจริงๆทำมูลนิธิเล็กๆ โดยเฉพาะเด็กเล็ก ที่รู้สึกอินมาก แม้ในทางการเมืองอาจไม่ใช่เรื่องที่คนสนใจ แต่เป็นเรื่องที่เปลี่ยนอนาคตของประเทศจริงๆ อย่างทำ
- อีกไม่กี่เดือน ถ้าปชป.บอกว่า จะส่งลงเลือกตั้งส.ส.พร้อมไหม ?
ก็ต้องมานั่งคุนกัน วันนี้ยังตอบอะไรไม่ได้ เพราะรายละเอียดมันเยอะไปหมดเลย ก็ต้องมาดู แต่วันนี้ไม่ใช่เรื่องของเราแล้ว โล่งแล้ว มาทำสิ่งที่อยากทำก่อน ส่วนเรื่องนี้ก็เป็นเรื่อของผู้ใหญ่แล้ว
- มีพรรคอื่นมาทาบทามหรือไม่?
ไม่มีเลย อย่างที่บอกมีแค่เพื่อนชวนไปทำบุญ ชวนไปทานข้าว เดี่ยวก็มาหา เพราะเขาเป็นห่วง
- ปิดโอกาสเรื่องนี้หรือเปล่า ?
ก่อนหน้าที่มาลงการเมืองก็ไม่ปิดอยู่แล้ว มีคนโทรมาที่ไม่ใช่ปชป.เยอะแยะเลย เพราะเรายังเป็นน้องที่ดีสำหรับพี่ๆทุกคนเลย
- ถ้ามีพรรคอื่นมาทาบทามยินดีคุยหรือเปล่า ?
ตั้งแต่ก่อนถึงปัจจุบันก็ไม่ปิดอยู่แล้ว จากที่เคยเข้ามาอยู่อนุบาล วันนี้เราประถมแล้ว ฟังพี่ๆเขาบางทีอาจจะได้เข้ามหาวิทยาลัย เพราะบางทีเขามาได้ความรู้จากเขาทั้งนั้น แต่ละคนที่มีโอกาสได้คุยเราได้ประโยชน์ทั้งนั้นเลย
– ความอยากหรือเปล่า ?
ตอนที่แพ้ ผู้ใหญ่ชวนทานข้าวก็ถามผู้ใหญ่ว่า มันมีทางอื่นไหม ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงประเทศจริงๆโดยโครงสร้าง ส่ายหัว ไม่เอ้ ต้องโพลิติกโอนลี่ ต้องการเมือง ถึงจะมีโอกาสเปลี่ยนบ้านเมืองนี้ได้ พูดแบบนี้มา ผมก็ครับ
– มีคนเขามองว่า เป็นเดอะแบกของปชป. ถามจริงๆ เป็นเดอะแบก หรือปชป.แบกพี่เอ้กันแน่?
ไปบอกแบบนี้มันก็ไม่แฟร์ พรรคที่อยู่มานานๆ มันมีคนชอบและไม่ชอบก็เยอะเป็นธรรมดา ยิ่งนานๆไปคนไม่ชอบอาจจะเยอะกว่า เหมือนอะไรซักอย่างที่อยู่ไปนานๆ ดีแค่ไหนก็อาจจะเป็นปกติ คิดว่าที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำ พรรคทำ สำหรับผมได้เพื่อนใหม่เยอะเลย รู้ไหมส.ก. คนที่มาทำตรงนี้ต้องเสียสละอะไรบ้าง คือเราอยู่ข้างนอกเราก็มองเขาเป็นนักการเมือง แต่พอไปสัมผัสชีวิตเขา หลายๆคนน่าศรัทธามากๆ
คือไม่ว่าจะมองมุมไหนถือว่าเป็นเรื่องบวก ต่างคนต่างช่วยพยุงกัน ไม่มีใครแบกใครหรอก