บุคลากรการแพทย์โอซาก้าทยอยลาออก รับมือโควิดไม่ไหว

วันนี้( 18 ธ.ค.63) ทางการนครโอซาก้าเปิดเผยว่า เตียงไอซียูถูกใช้ไปแล้วมากกว่า 160 เตียง ตามโรงพยาบาลอื่นๆทั่วทั้งเมือง หรือคิดเป็นราว 80% ของทั้งหมด ทำให้ตอนนี้ต้องมีการตั้งห้องไอซียูขึ้นเป็นการชั่วคราวในบางจุด เพื่อรับมือกับผู้ป่วยวิกฤตจากการติดเชื้อโควิด-19 

สำหรับห้องไอซียูชั่วคราว จะมีเตียงผู้ป่วย 30 เตียง และยังคงต้องการพยาบาลอีก 130 คน เพื่อมาดูแลคนไข้ ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่าจังหวัดใกล้เคียงได้ทำการส่งบุคลากรทางการแพทย์ 120 คน และกองกำลังป้องกันตนเองอีกจำนวนหนึ่งไปยังนครโอซาก้าแล้ว เพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการรับมือการระบาด ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีรายงานว่า มีบุคลากรทางการแพทย์มากกว่า 30 คน ยื่นหนังสือลาออก เนื่องจากทนรับแรงกดดันจากการระบาดในครั้งนี้ไม่ไหว 

ยูอิชิ ซูกิมูระ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล คาวากิตะ ในกรุงโตเกียว ระบุว่า ปัญหาคือ “กลุ่มคนหนุ่มสาว” ที่เริ่มไม่ป้องกันตัวเอง และทำให้เกิดการระบาดรุนแรงในรอบที่ 2 โดยพบว่า หลายคนไปรับเชื้อมาจากผับ บาร์ หรือการวมตัวกันที่ต่าง ๆ ส่วนการระบาดในรอบที่ 3 นี้ เกิดขึ้นมากในบ้านพักคนชรารวมถึงกลุ่มคนหนุ่มสาวด้วยเช่นกัน โดยภาพรวมพบว่าช่วงอายุที่ติดเชื้อนั่นสูงขึ้นกว่ารอบก่อน ซึ่งการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดแรงกดดันอย่างหนักต่อบุคลากรการแพทย์ที่ต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืน และยังมีผู้ป่วยวิกฤตเพิ่มมากขึ้นด้วย ทำให้หลายคนรับภาวะนี้ไม่ไหว และต้องขอลาออกในที่สุด 

รัฐบาลโอซาก้า ได้เรียกร้องให้ประชาชนในเมืองหลีกเลี่ยงการเดินทางระหว่างจนถึง 29 ธันวาคม และจำกัดการรวมตัวไม่เกิน 5 คน ส่วนร้านอาหารและผับ บาร์ ต้องปิดเวลา 21.00 น. 

ขณะที่ล่าสุด บริษัทไฟเซอร์ ได้ยื่นขออนุมัติการใช้วัคซีนฉุกเฉินในประเทศญี่ปุ่นแล้วในวันนี้ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติ ญี่ปุ่นจะเริ่มต้นการฉีดวัคซีนได้ต้นเดือนมีนาคม โดยญี่ปุ่นได้ทำข้อตกลงซื้อวัคซีนจากไฟเซอร์ทั้งหมด 120 ล้านโดส ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งเพียงพอสำหรับประชากร 60 ล้านคน หรือราว ครึ่งหนึ่งของทั้งหมด 

รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของญี่ปุ่นยืนยันว่า ยังคงต้องทำการพิจารณาเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนอย่างถี่ถ้วน เนื่องจากที่ผ่านมามีรายงานบุคลากรการแพทย์ทั้งในอังกฤษและสหรัฐฯ ที่มีอาการภูมิแพ้กำเริบรุนแรงหลังรับวัคซีน

เกาะติดข่าวที่นี่